แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีเดิมโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินทรัพย์มรดก ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน ต่อมาจำเลยทั้งสามฟ้องโจทก์ทั้งสี่ขอให้เพิกถอนการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาคดีหลังจึงมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคู่ความในคดีว่าการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นไปโดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องในคดีเดิมขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลง ให้เหลือเฉพาะที่ดินแปลงเดิม แล้วให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดอีกเช่นนี้จึงเป็นการรื้อร้องกันอีกในประเด็นที่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดมาแล้ว อันเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามมาตรา 144
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 75 เนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 47 ตารางวา เป็นทรัพย์มรดกของนายกาสีให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินมรดกดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่ากัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายกาสีตกทอดแก่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน ให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสี่คนละส่วนภายใน 20 วัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2540 นายอำเภอมัญจาคีรี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้จดทะเบียนแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 7 ส่วน โดยโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามได้รับคนละส่วนเท่า ๆ กัน ถือว่าการแบ่งมรดกตามคำพิพากษากระทำโดยถูกต้องและเสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามมีฐานะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 มีการเปลี่ยนแปลงหลักฐานในที่ดินพิพาทจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 75 เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4044 และนายอำเภอมัญจาคีรีได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็น 2 แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 เนื้อที่จำนวน 13 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยทั้งสามและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 เนื้อที่จำนวน 18 ไร่ 44 ตารางวา จดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นการกระทำเกินคำพิพากษา จำเลยทั้งสามได้คัดค้านก่อนแล้วเนื่องจากการแบ่งดังกล่าวทำให้มูลค่าของส่วนแบ่งแต่ละคนไม่เท่ากันโดยจำเลยทั้งสามได้รับส่วนแบ่งมีมูลค่าของแต่ละคนน้อยกว่ามูลค่าของโจทก์ทั้งสี่แต่ละคน ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลง ให้เหลือเฉพาะที่ดินแปลงเดิมตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 เนื้อที่จำนวน 31 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวา แล้วมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน หรือหากไม่เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยก ให้มีคำสั่งนำที่ดินทั้ง 2 แปลง ขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน
โจทก์ทั้งสี่คัดค้านว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วโจทก์ทั้งสี่แบ่งปันการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 75 เป็นส่วนสัดกับจำเลยทั้งสามโดยจำเลยทั้งสามไม่คัดค้านและโจทก์ทั้งสี่ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของตลดอมาจนถึงปัจจุบัน การรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทนั้น จำเลยทั้งสามทราบแต่ไม่คัดค้าน จนกระทั่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นการรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้เป็นไปโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเพราะเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2540 จำเลยทั้งสามฟ้องโจทก์ทั้งสี่ และนายอำเภอมัญจาคีรี ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3807/2541 ของศาลชั้นต้นคดีถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกา โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิมเป็นไปโดยถูกต้องและเสร็จสิ้นแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คำร้องของจำเลยทั้งสามเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3807/2541 ของศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และมาตรา 148 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้แบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 75 ตำบลกุดเค้า อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 47 ตารางวา ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายกาสีให้แก่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายกาสีตกทอดแก่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน ให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่คนละส่วนภายใน 20 วัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หลังจากนั้นวันที่ 3 มกราคม 2540 นายอำเภอมัญจาคีรีได้จดทะเบียนแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 7 ส่วน โดยให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามได้รับคนละส่วนเท่า ๆ กันในฐานะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทจึงได้มีการเปลี่ยนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 75 เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 และนายอำเภอมัญจาคีรีได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็น 2 แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา โอนให้แก่จำเลยทั้งสาม และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 เนื้อที่ 18 ไร่ 44 ตารางวา โอนให้แก่โจทก์ทั้งสี่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2540 จำเลยทั้งสามได้ฟ้องโจทก์ทั้งสี่และนายอำเภอมัญจาคีรีขอให้เพิกถอนการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045
ตำบลกุดเค้า อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3807/2541 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกา โดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่า เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิม (คดีนี้) โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสาม (จำเลยทั้งสามในคดีนี้) ได้โต้แย้งคัดค้านว่าการรังวัดแบ่งแยกที่ดินไม่ถูกต้อง จึงต้องถือว่าการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิมเป็นไปโดยถูกต้องและเสร็จสิ้นแล้วโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นคู่ความในคดีเดิมจะกลับมาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสามไม่ตกลงยินยอมด้วยในการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหาได้ไม่ ให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2544 เอกสารหมาย ค.1 หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามจึงได้มายื่นคำร้องในคดีนี้ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลง ให้เหลือเฉพาะที่ดินแปลงเดิมตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวา แล้วให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่เพิกถอนก็ให้นำที่ดินทั้ง 2 แปลง รวมกันขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าคำพิพากษาในคดีก่อน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2544) ตามเอกสารหมาย ค.1 มีผลผูกพันจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 หรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนจำเลยทั้งสามฟ้องโจทก์ทั้งสี่ขอให้เพิกถอนการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสาม ซึ่งเป็นคู่ความในคดีว่าการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 เป็นไปโดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ดังนี้จำเลยทั้งสามจะมาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นในคดีนี้ว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ยินยอมให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม การแบ่งแยกกรรมสิทิ์รวมออกเป็นที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 เป็นไปโดยไม่ชอบอีกหาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่าการที่จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลง ให้เหลือเฉพาะที่ดินแปลงเดิมตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 แล้วให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดหรือหากไม่เพิกถอนก็ให้นำที่ดิน 2 แปลงขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กัน เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามได้นำคดีไปฟ้องโจทก์ทั้งสี่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4045 ตำบลกุดเค้า อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3807/2541 ของศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่า การที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิม (คดีนี้) จึงเป็นไปโดยถูกต้องและเสร็จสิ้นแล้ว ให้ยกฟ้อง การที่จำเลยทั้งสามมายื่นคำร้องในคดีนี้ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลง ให้เหลือเฉพาะที่ดินแปลงเดิมตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4044 แล้วให้นำที่ดินออกขายทอดตลาด… ฯลฯ อีกเช่นนี้จึงเป็นการรื้อร้องกันอีกในประเด็นที่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดมาแล้ว อันเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ศาลชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยทั้งสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ