คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6962/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ภายหลังจากที่สัญญาเช่าครบกำหนด โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไปและบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไป เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยในมูลละเมิด มิใช่เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าทรัพย์ โจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่ได้โดยไม่จำต้องใช้หนังสือสัญญาเช่าที่ดินเป็นพยานหลักฐานในคดี แม้สัญญาเช่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 21 เนื้อที่ 1 งาน 16.50 ตารางวา โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวบริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเนื้อที่ประมาณ 40 ตารางวา มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2545 อัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าที่ดินต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยอันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 21 ตำบลปากตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 16 กันยายน 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยให้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากการฉ้อฉล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาข้อนี้โดยเห็นว่าเป็นข้อกฎหมายนั้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ศาลชั้นต้นรับมาแต่เพียงว่า สัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.2 มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ภายหลังจากที่สัญญาเช่าครบกำหนด โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าที่ดินกล่าวต่อไปและบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยในมูลละเมิด หาใช่เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าทรัพย์ไม่ โจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่ได้โดยไม่จำต้องใช้หนังสือสัญญาเช่าที่ดินเป็นพยานหลักฐานในคดี แม้สัญญาเช่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share