คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นมิใช่ศาลเยาวชนและครอบครัวพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจนกว่าจำเลยทั้งสองจะมีอายุครบ18 ปี อันเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 74(5) การอุทธรณ์ฎีกาจึงต้องอุทธรณ์ฎีกาไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แม้ว่าในชั้นอุทธรณ์คดีของจำเลยทั้งสองได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวก็ตาม สิทธิในการฎีกาของจำเลยก็ยังคงต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จะนำเอาบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124 มาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงเป็นการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83 และนับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3050/2540 ของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในข้อหาลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก จำเลยทั้งสองอายุไม่เกิน 17 ปี เห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษ แต่ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรีจนกว่าจำเลยทั้งสองจะมีอายุครบ 18 ปี ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษของจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3050/2540 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลมิได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง จึงให้ยกคำขอส่วนนี้

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้มอบตัวจำเลยทั้งสองแก่บิดามารดาโดยคุมความประพฤติจำเลยทั้งสอง

ศาลอุทธรณ์ภาค3แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาแผนกเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองต้องห้ามฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124 หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นมิใช่ศาลเยาวชนและครอบครัวพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรีจนกว่าจำเลยทั้งสองจะมีอายุครบ 18 ปี อันเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 74(5) การอุทธรณ์ฎีกาจึงต้องอุทธรณ์ฎีกาไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แม้จะปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์คดีของจำเลยทั้งสองได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวก็ตามสิทธิในการฎีกาของจำเลยก็ยังคงต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะนำเอาบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124 มาใช้บังคับไม่ได้เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จึงชอบแล้วศาลฎีการับวินิจฉัยให้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าสมควรที่จะมอบตัวจำเลยทั้งสองให้อยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 74 หรือไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share