คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1810/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 (1) ที่ให้คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกานั้น มีความหมายว่า ให้นำเอาราคาซื้อขายของอสังหาริมทรัพย์ในประเภทและชนิดเดียวกันที่ประชาชนทั่วไปซื้อขายกันอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกาเริ่มมีผลใช้บังคับมาเป็นเกณฑ์พิจารณา ถ้าหาราคาซื้อขายในวันดังกล่าวไม่ได้ ก็อาจหาราคาซื้อขายในวันอื่นที่ใกล้เคียงมาใช้พิจารณาแทน แม้จะเป็นราคาซื้อขายในภายหลังจากวันที่พระราชกฤษฎีกาเริ่มมีผลใช้บังคับก็นำมาใช้เทียบเคียงได้ ผู้กำหนดราคาสามารถใช้ดุลพินิจกำหนดราคาที่ควรจะเป็นโดยคำนึงถึงปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลนั้นประกอบไป และกำหนดราคาที่สมควรในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาได้
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ฯ ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนทั้งหมดให้แก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนซึ่งเป็นเจ้าของภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ฯ คือต้องจ่ายในวันที่ 29 มีนาคม 2538 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายเงินค่าทดแทนเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 11,722,027 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินจากต้นเงิน 10,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 4,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 27837 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี ซึ่งทั้งแปลงอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตาม พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอปากเกร็ด… พ.ศ. 2537 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2537 คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ตารางวาละ 10,000 บาท รวมทั้งแปลง 210 ตารางวา เป็นเงิน 2,100,000 บาท โจทก์ไม่พอใจจึงอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ไม่น้อยกว่าตารางวาละ 60,000 บาท เป็นเงินไม่น้อยกว่า 14,130,000 บาท แต่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า โจทก์สมควรได้รับค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงใด คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์เพิ่มขึ้นเป็นตารางวาละ 30,000 บาท แต่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์นำเอาที่ดินที่มีการซื้อขายกันมาพิจารณา ทั้ง ๆ ที่ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างที่ดินโจทก์ถึง 2 กิโลเมตร และซื้อขายกันภายหลังวันที่พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ใช้บังคับแล้วถึง 1 ปีเศษ ขัดเหตุผลและข้อเท็จจริง รับฟังไม่ได้ เห็นว่า ตามมาตรา 21 (1) ที่ให้คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกานั้น เพียงแต่มีความหมายว่า ให้นำเอาราคาซื้อขายของอสังหาริมทรัพย์ในประเภทและชนิดเดียวกันที่ประชาชนทั่วไปซื้อขายกันอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกาเริ่มมีผลใช้บังคับมาเป็นเกณฑ์พิจารณาด้วย แต่ก็มิได้หมายความว่า ถ้าหาราคาซื้อขายในวันดังกล่าวไม่ได้แล้วจะกำหนดราคาตามข้อ (1) นี้ไม่ได้ การซื้อขายในวันดังกล่าวอาจจะไม่มี เมื่อหาราคาซื้อขายในวันดังกล่าวโดยตรงไม่ได้ ก็อาจหาราคาซื้อขายในวันอื่นที่ใกล้เคียงกันมาใช้พิจารณาแทน แม้จะเป็นราคาซื้อขายในภายหลังจากวันที่พระราชกฤษฎีกาเริ่มมีผลใช้บังคับก็นำมาใช้เทียบเคียงได้ ผู้กำหนดราคาย่อมสามารถใช้ดุลพินิจกำหนดราคาที่ควรจะเป็น โดยคำนึงถึงปัจจัยอย่างอื่นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลนั้น ๆ ประกอบไป และกำหนดราคาที่สมควรในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาได้…
คดีนี้โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ฯ ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2537 ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนทั้งหมดให้แก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนซึ่งเป็นเจ้าของภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ฯ คือต้องจ่ายในวันที่ 29 มีนาคม 2538 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน อันเป็นวันที่ต้องมีการจ่ายตามมาตรา 26 วรรคท้าย ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายเงินค่าทดแทนนั้น คือวันที่ 29 มีนาคม 2538 เป็นต้นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคท้าย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2538 เป็นต้นไปจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าทดแทนเพิ่มให้แก่โจทก์จำนวน 3,150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินนับแต่วันที่ 29 มีนาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share