แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุผู้ตายยืนอยู่ใกล้กับผู้เสียหายห่างกันไม่เกิน 50 เมตร และผู้เสียหายเบิกความตอบทนายโจทก์ร่วมว่า ในครั้งแรกจำเลยยิงอาวุธปืนติดต่อกัน 2 นัด ผู้เสียหายถูกยิงนัดที่ 2 หลังจากนั้นผู้ตายจึงถูกยิง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายจึงเป็นการยิงคนละครั้ง แม้จะเป็นเวลาต่อเนื่องกันไป แต่ก็แยกเจตนาในการกระทำความผิดออกจากกันได้ การยิงผู้เสียหายย่อมเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง และการยิงผู้ตายก็เป็นความผิดสำเร็จในตัวเองต่างหากอีกกรรมหนึ่ง ดังนั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและยิงผู้ตายจึงเป็นความผิดสองกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางพุม มารดาผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 (ที่ถูก 288, 288 ประกอบมาตรา 80) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 18 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี รวมจำคุก 30 ปี ยกฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่น เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 18 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 18 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา นางปรีดา ผู้ตาย และนายกุศล ผู้เสียหาย ซึ่งทั้งสองเป็นสามีภริยากันเดินทางไปที่บ้านนายสำลี พี่ชายของผู้ตาย ระหว่างทางผู้ตายและผู้เสียหายเห็นพื้นที่ที่ติดต่อกับสวนยางพาราของตนถูกไถจนโล่งเตียน และมีการรุกล้ำปลูกต้นยางพาราในที่ดินของตนเมื่อไปถึงบ้านนายสำลีจึงสอบถามว่าใครเป็นผู้ทำ นายสำลีบอกว่าจำเลยเป็นผู้ทำ จากนั้นผู้ตายและผู้เสียหายเดินไปที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 400 เมตร ขณะอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณสะโพกขวาและซ้าย จนถึงแก่ความตายในระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ต้นขาขวาด้านในและด้านนอก เป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตามสำเนารายงานชันสูตรพลิกศพและสำเนารายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายนั้น เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุผู้ตายยืนอยู่ใกล้กับผู้เสียหายห่างกันไม่เกิน 50 เซนติเมตร และผู้เสียหายเบิกความตอบทนายโจทก์ร่วมว่า ในครั้งแรกจำเลยยิงอาวุธปืนติดต่อกัน 2 นัดผู้เสียหายถูกยิงนัดที่ 2 หลังจากนั้นผู้ตายจึงถูกยิง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายจึงเป็นการยิงคนละครั้ง แม้จะเป็นเวลาต่อเนื่องกันไป แต่ก็แยกเจตนาในการกระทำความผิดออกจากกันได้ การยิงผู้เสียหายย่อมเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง และการยิงผู้ตายก็เป็นความผิดสำเร็จในตัวเองต่างหากอีกกรรมหนึ่ง ดังนั้นการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและยิงผู้ตายจึงเป็นความผิดสองกรรม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่าเป็นความผิดกรรมเดียว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและฐานพยายามฆ่าผู้อื่น เป็นความผิดสองกรรม ความผิดสองฐานนี้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น รวมจำคุก 30 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุก 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืน และโทษจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดแล้ว เป็นจำคุกจำเลย 30 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8