คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายมีภริยาชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วคนหนึ่ง ต่อมาได้ภริยาน้อยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาอยู่ร่วมด้วยอีกคนหนึ่ง ดังนี้ ถือว่าภริยาน้อยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของผู้ตายในฐานะเป็นบริวารหรือนางบำเรอเท่านั้น จึงหามีสิทธิที่จะเข้ามามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในกองทรัพย์สินที่ด้มาระหว่างผู้ตายกับภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไม่
การที่สามีเอาที่ดินอันเป็นสินบริคณห์โอนยกให้แก่บุตรโดยเสน่หานั้น เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ภริยาจะขอให้เพิกถอนไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้สมรสกับนายอ่อง ตามกฎหมายมา ๓๑ ปีแล้ว อยู่กินกันตลอดมา นายอ่องตายเมื่อ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๒ โจทก์มีสินเดิมเป็นเงิน ๔๔,๐๕๐ บาท แต่ได้จำหน่ายไปหมดแล้ว มีสินสมรสตามบัญชีท้ายฟ้อง หมาย ๒, ๓, ๔, ๕ คิดเป็นเงิน ๑,๑๐๖,๐๒๗.๒๘ บาท นายอ่องทำพินัยกรรมไว้ ๒ ฉบับ คงสมบูรณ์เฉพาะทรัพย์ส่วนของนายอ่องเท่านั้น ไม่ผูกพันสินสมรสส่วนของโจทก์ เพราะโจทก์ไม่รู้เห็นให้ความยินยอม นายอ่องมีภริยาชอบด้วยกฎหมายคือโจทก์คนเดียว เกิดบุตร ๕ คน และนายอ่องมีบุตรเกิดกับนางก้ามจำเลยอีก ๖ คน ยังไม่บรรลุนิติภาวะ นางก้ามร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนายอ่อง ศาลอนุญาต ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข ๒ เป็นเงิน ๔๒๘,๘๒๗.๒๘ บาท ตกเป็นสินสมรสส่วนของนายอ่องครึ่งหนึ่ง ซึ่งต้องหักใช้สินเดิมให้โจทก์ ค่าทำศพ จ่ายให้ผู้รับมรดกตามคำสั่งในพินัยกรรม คงเหลือ ๓๗,๓๖๓.๖๔ เงินตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข ๓ เงิน ๑๖๔,๒๐๐ บาท เป็นสินสมรสส่วนของนายอ่องครึ่งหนึ่ง ๘๒,๑๐๐ บาท ทรัพย์ทั้งสองรายการนี้จะต้องแบ่งให้แก่นายฮกหลาบ เด็กชายฮกล๊อก เด็กชายหิ่นหลี เท่าๆ กัน ตามคำสั่งในพินัยกรรม ทรัพย์ท้ายฟ้องหมาย ๔ เงิน ๑๘,๐๐๐ บาท เป็นสินสมรส
แต่นายอ่องโอนให้แก่บุตรจำเลยโดยเสน่หา โดยโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอม ขอให้เพิกถอนเอามาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน ๑๑๒,๕๐๐ บาท อันดับ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ เป็นสินสมรส ต้องแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน ๑๓๕,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ภริยาชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ถูกนายอ่องขับไล่ออกไปอยู่ที่อื่นและทิ้งร้างกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ โจทก์ไม่มีสินเดิม แต่นายอ่องมีทรัพย์หมาย ๒, ๓ และ ๕ ไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอ่อง เป็นทรัพย์รวมระหว่างนายอ่องกับจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน จำเลยมีส่วนได้คนละครึ่งกับนายอ่อง การแบ่งที่โจทก์อ้างในฟ้องไม่ถูกต้อง พินัยกรรมทั้ง ๒ ฉบับสมบูรณ์ โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วย ทรัพย์ท้ายฟ้องหมายเลข ๔ เป็นสินส่วนตัวของจำเลย จำเลยแต่งงานอยู่กินกับนายอ่อง แต่พ.ศ. ๒๔๘๐ มีสร้อยคอ แหวนเพ็ชร ฯลฯ ทำมาหากินร่วมกับนายอ่อง จำเลยจึงมีสิทธิกันส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งไว้ก่อนแบ่งให้ทายาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า นายอ่องกับโจทก์เป็นสามีภริยาถูกต้องตามกฎหมายลักษณะผัวเมียตลอดมาจนนายอ่องตาย ส่วนนางก้ามมิใช่ภริยาชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ได้รู้เห็นหรือยินยอมในการที่นายอ่องทำพินัยกรรม นายอ่องจะทำพินัยกรรมเอาส่วนสินสมรสของโจทก์ไปยกให้คนอื่นหาได้ไม่ ทรัพย์หมาย ๒, ๓, ๔ เป็นสินสมรสของโจทก์กับนายอ่อง โจทก์มีสิทธิแบ่งได้เพราะโจทก์มีสินเดิม แต่โจทก์สืบไม่ได้ว่าขายสินเดิมไปราคาเท่าใด จึงหักสินสมรสเดิมใช้ให้ไม่ได้ การแบ่งสินสมรสต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือ ชายได้ ๒ ส่วน หญิง ๑ ส่วน ส่วนของนายอ่องตกลงทอดไปยังผู้รับมรดกตามคำสั่งในพินัยกรรมนายอ่อง ทรัพย์หมาย ๔ อยู่ในครอบครองนางก้ามจึงตกเป็นของนางก้าม ทรัพย์ท้ายฟ้องหมาย ๕ อันดับ ๑, ๒ ยังไม่พอฟังว่าโจทก์มิได้รู้เห็นในการที่นายอ่องทำนิติกรรมโอนให้บุตร พิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์หมาย ๒, ๓ และ ๕ อันดับ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ออกเป็น ๓ ส่วน ให้โจทก์ได้ ๑ ส่วน อีก ๒ ส่วน เป็นสินสมรสส่วนของนายอ่องหักเป็นค่าทำศพตามพินัยกรรม ๓๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือทั้งหมดตกเป็นของทายาทที่ระบุในพินัยกรรมตามส่วน
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อโจทก์ไปอยู่กินกับนายอ่อง โจทก์มีเครื่องทองและเงินสดขณะนี้ราคาสี่ห้าหมื่นบาท เวลานี้ไม่มีอะไรเหลือ เพราะใช้จ่ายไปในการอยู่กินกับนายอ่อง จึงชอบที่จะเอาสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอ่องชดใช้สินเดิมของโจกท์เสียก่อนเป็นเงิน ๔๔,๐๕๐ บาท ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอแบ่งสินสมรสคนละครึ่งและทรัพย์หมายเลข ๔ เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอ่อง กับทรัพย์หมายเลข ๕ อันดับ ๑, ๒ โอนให้บุตรโดยโจทก์ไม่รู้เห็นนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยว่าทรัพย์หมาย ๒, ๓, ๕ เป็นทรัพย์ร่วมที่นายอ่องกับจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน ขอให้แบ่งให้จำเลยครึ่งหนึ่งก่อนนั้นฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้เอาสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอ่องใช้สินเดิมโจทก์ก่อนเป็นเงิน ๔๔,๐๕๐ บาท ทรัพย์หมาย ๒, ๓ และ ๕ เฉพาะอันดับ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ กันไว้เป็นส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งก่อน ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอ่อง โจทก์มีส่วนได้ ๑ ใน ๓ สินสมรสส่วนของนายอ่องตกได้แก่ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมของนายอ่อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ขอให้แบ่งสินสมรสให้โจทก์ครึ่งหนึ่งฟังไม่ขึ้นเพราะโจทก์กับนายอ่องสมรสกันก่อน พ.ศ. ๒๔๗๗ การแบ่งสินสมรสต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือ โจทก์ได้ ๑ ใน ๓ สำหรับทรัพย์หมายเลข ๔ มีลักษณะเป็นเครื่องประดับกายอยู่ในครอบครองของจำเลย ตามพฤติการณ์ควรฟังว่านายอ่องได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยแล้ว กับทรัพย์หมายเลข ๕ อันดับ ๑, ๒ (ที่ดิน ๒ โฉนด) นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าทรัพย์นี้เป็นสินบริคณห์ และเป็นสินสมรส สามีมีอำนาจจัดการจำหน่ายสินบริคณห์ได้ และการโอนให้แก่บุตรก็เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี นายอ่องผู้สามีได้ปฏิบัติการไปโดยชอบด้วยประมวลบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๒ แล้วโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับฎีกาโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์หมาย ๒, ๓ และ ๕ อันดับ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยมีสิทธิกันส่วนครึ่งหนึ่งก่อนนั้น โจทก์เชื่อว่ากฎหมายที่ให้ถือว่าเป็นทรัพย์ร่วมระหว่างสามีภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นไม่มี ศาลฎีกาพิเคราะห์ฎีกาโจทก์ข้อนี้แล้วเห็นว่าหลักที่ศาลฎีกาดำเนินเป็นแนววินิจฉัยตาม ๆ กันมา โดยอาทิ คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๓/๒๔๘๘ นั้น พฤติการณ์เป็นเรื่องที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันอย่างเป็นคู่ผัวตัวเมีย หากแต่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายบังคับ ถึงกระนั้นก็ได้ร่วมทุกข์สุขกัน ร่วมมือร่วมแรงทำมาหาได้สะสมทรัพย์เอาไว้ระหว่างกัน ครั้นชายตายลง ญาติพี่น้องข้างชายอ้างเป็นทายาท จะเอาทรัพย์ที่เขาทำมาหาได้นั้นไปเสียจากหญิงจนสิ้น ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยข้อกฎหมายเป็นหลักไว้ว่า ทรัพย์ที่ชายหญิงสะสมไว้นั้นเป็นทรัพย์ที่เขาหาได้มาโดยเจตนาจะเป็นเจ้าของร่วมกัน เป็นหลักกฎหมายเรื่องกรรมสิทธิ์ ซึ่งท่านให้สันนิษฐานว่าเจ้าของรวมมีส่วนในทรัพย์คนละเท่า ๆ กัน ด้วยเหตุนี้จึงถือตามกันมาว่า ชายหญิงอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ขาดอยู่เพียงไม่จดทะเบียนสมรสนั้น เขาย่อมมีสิทธิอยู่ในกองทรัพย์สินที่เขาร่วมกันทำมาหาได้สะสมไว้นั้นคนละครึ่ง
แต่สำหรับคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายอ่องผู้ตายมีโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แล้วจึงมาได้จำเลยเป็นภริยาน้อยอีกคนหนึ่ง ภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และโดยมิได้จดทะเบียน นายอ่องผู้ตายได้อยู่ร่วมกับโจทก์จำเลยด้วยกันจนกระทั่งนายอ่องตาย แม้โจทก์จะอยู่บ้านเลขที่ ๖๘ จำเลยอยู่ห้องเลขที่ ๖๕ แต่ก็ติดต่อกันมีทางเข้าออกถึงกัน ต้องถือว่านายอ่องผู้ตายได้อยู่ร่วมกับโจทก์ซึ่งเป็นภริยาหลวงโดยชอบด้วยกฎหมายจนนายอ่องถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จะถือว่าจำเลยผู้เป็นภริยาน้อยซึ่งไม่มีฐานะเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายอย่างใดเลยนั้น ได้เข้ามามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอีกคนหนึ่งหาได้ไม่ จำเลยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของนายอ่องในฐานะบริวารหรือนางบำเรอเท่านั้น ฉะนั้น จึงจะถือว่าจำเลยได้เข้ามามีกรรมสิทธิ์ร่วมในกองทรัพย์สินระหว่างนายอ่องกับโจทก์ไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยมีสิทธิกันส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งออกก่อนจากทรัพย์สินอันเป็นสินบริคณห์ระหว่างนายอ่องกับโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
จึงพิพากษาแก้เฉพาะทรัพย์หมาย ๒, ๓ และ ๕ อันดับ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอ่อง โดยไม่ต้องกันให้จำเลยครึ่งหนึ่งก่อน นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share