แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 49,000 บาทและให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ 240,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าขาดไร้อุปการะเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าขาด ไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ 120,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้องทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา สำหรับจำเลยที่ 2 กับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เหตุเกิดจากความประมาทของผู้ตายเพียงฝ่ายเดียว หรือผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย และโจทก์เรียกค่า ขาดไร้อุปการะสูงเกินจริง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีเป็นประเด็นพิพาทว่าได้มีการตกลงระงับข้อพิพาทกันแล้ว โดยอ้างข้อตกลงระหว่าง โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นสำคัญเพียงฉบับเดียว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 นำสืบอ้าง ว่ามีการตกลงระงับข้อพิพาทกันตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับ คดีเพิ่มเติมในชั้นสืบพยานจำเลยจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ทั้งเอกสารฉบับนี้ไม่ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้ในบัญชีระบุพยาน ของจำเลยที่ 2 ด้วย จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์เป็นฝ่ายได้รับ ความเสียหายจากมูลละเมิด จึงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจึงอยู่ในฐานะเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิด แต่กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850,851 สัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ จึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ จำเลยที่ 2 จะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าทำศพ79,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 720,000 บาทรวมเป็น 799,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2535 อันเป็นวันละเมิดจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาส่วนจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของนายอนันต์ หวีบู ผู้ตายที่ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนอกจากนี้โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ได้เจรจาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมรับค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้อีก ค่าทำศพ ทำบุญตามสมควรแก่ฐานะไม่เกิน 10,000 บาท โจทก์ทั้งสองไม่ได้ขาดไร้อุปการะเพราะผู้ตายยังไม่มีรายได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 529,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสามชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 289,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2ร่วมชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน49,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ 240,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาแก้เฉพาะค่าขาดไร้อุปการะเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ 120,000 บาทเมื่อจำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาสำหรับจำเลยที่ 2 กับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเหตุเกิดจากความประมาทของนายอนันต์ ทวีบูผู้ตายเพียงฝ่ายเดียว หรือผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย และโจทก์เรียกค่าขาดไร้อุปการะสูงเกินจริง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ได้มีการตกลงระงับข้อพิพาทกันแล้วตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.2และสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.3โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเห็นว่า จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีเป็นประเด็นพิพาทข้อนี้โดยอ้างข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.3 เป็นสำคัญเพียงฉบับเดียว ด้วยเหตุนี้การที่จำเลยที่ 2 นำสืบอ้างว่ามีการตกลงระงับข้อพิพาทกันตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.2 (ล.1) เพิ่มเติมในชั้นสืบพยานจำเลยจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การทั้งเอกสารฉบับนี้ไม่ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้ในบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 สำหรับสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.3 นั้น คดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายได้รับความเสียหายจากมูลละเมิดจึงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจึงอยู่ในฐานะเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิด แต่กลับปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.3 แต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 851สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.3 จึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ จำเลยที่ 2 จะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน