แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาเช่าสวนส้มของโจทก์มีกำหนด 12 ปี ค่าเช่าปีละ 10 บาท โดยมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะต้องปลูกทุเรียนจนเต็มเนื้อที่โดยออกค่าใช้จ่ายเอง และในระหว่างอายุสัญญาเช่า ดอกผลที่ได้จากทุเรียนจะต้องแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์สงวนสิทธิเก็บดอกผลของต้นไม้บางต้น นอกนั้นยอมให้จำเลยเก็บได้ทั้งสิ้น แม้ตามสัญญาจะมิได้กำหนดว่าจะต้องเริ่มปลูกทุเรียนเมื่อใดแต่เมื่อพิเคราะห์ถึงความประสงค์ของคู่สัญญาประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 แล้ว จำเลยจะต้องปลูกทุเรียนโดยเร็วในระยะแรกที่พอปลูกได้
ย่อยาว
ในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำหนังสือเช่าสวนส้มของโจทก์ มีกำหนด 12 ปี ค่าเช่าปีละ 10 บาท สัญญามีว่าผู้เช่าจะต้องปลูกทุเรียนกระดุมทองลงในที่ดินแปลงนี้จนเต็มเนื้อที่โดยต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และในระหว่างอายุสัญญาดอกผลที่ได้จากทุเรียนจะต้องแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่าผู้ให้เช่าขอสงวนสิทธิเก็บดอกผลของต้นมะไฟ ฯลฯ นอกนั้นยอมให้ผู้เช่าเก็บดอกผลได้ทั้งสิ้น และผู้ให้เช่าให้จำเลยอยู่ในโรงเรือนในสวนด้วย ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยได้ปลูกทุเรียนเพียง 2 ต้นภายหลังที่ฟ้องแล้วจำเลยปลูกอีก 37 ต้น แต่มิได้ปลูกให้ถูกต้องตามประเพณีที่ชาวสวนเขาปลูกกัน ต่อมาทุเรียนตายเกือบหมด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ตามสัญญาเช่าจะมิได้กำหนดเวลาว่าจำเลยจะต้องเริ่มลงมือปลูกทุเรียนเมื่อใด แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงความประสงค์ของคู่สัญญา คือ โจทก์จะเลิกสวนส้มโดยปลูกทุเรียนลงแทนเพื่อหวังได้รับประโยชน์จากดอกผลทุเรียนต่อไป แต่โจทก์ไม่ทำเองให้จำเลยเป็นผู้ทำโดยจำเลยเก็บดอกผลของส้มไปพลางก่อนระหว่างที่ทุเรียนยังเล็กเป็นการตอบแทน ประกอบกับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 จำเลยจะต้องปลูกทุเรียนโดยเร็วในระยะแรกที่พอปลูกได้ จำเลยเพิ่งปลูกทุเรียนภายหลังสัญญาเช่ากันแล้ว 1 ปี 2 เดือนเศษ โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้วพิพากษายืน ให้โจทก์ชนะคดี