คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจตามมาตรา112 เบญจ แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 ที่จะกักของใด ๆ ของผู้ที่ค้างชำระภาษีอากรซึ่งกำลังผ่านศุลกากรจนกว่าจะได้รับชำระอากรที่ค้างจนครบ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินภาษีอากรเพิ่มสำหรับสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าซึ่งผ่านศุลกากรไปแล้ว และแจ้งให้โจทก์ชำระภาษีอากรเพิ่มแล้ว แม้ว่าโจทก์จะอุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดีอยู่ก็ตาม ต้องถือว่าภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินเพิ่มและแจ้งให้โจทก์ชำระแล้วเป็นภาษีอากรค้างชำระโดยไม่ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาเสียก่อน หากต่อมาศาลพิพากษาในคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจำเลยประเมินภาษีอากรเพิ่มไม่ชอบ จำเลยย่อมมีหน้าที่คืนภาษีอากรดังกล่าวให้โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ฉะนั้น เมื่อถือว่าเป็นภาษีอากรค้างชำระ อธิบดีกรมศุลกากรจึงใช้อำนาจกักสินค้าของโจทก์ไว้จนกว่าโจทก์จะชำระค่าภาษีอากรที่ค้างได้ คำสั่งให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226 แห่ง ป.วิ.พ. ประกอบด้วยมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าและนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามใบขนสินค้าขาเข้ารวมทั้งสิ้น 36 ฉบับ กรมศุลกากรจำเลยได้อนุญาตให้โจทก์นำสินค้าตามใบขนสินค้าดังกล่าวนี้ออกจากการอารักขาของจำเลยไปได้ โดยโจทก์ได้วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารไว้จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าราคาที่โจทก์ได้สำแดงไว้นั้นไม่ถูกต้องและสั่งให้โจทก์นำเงินค่าภาษีไปชำระเพิ่ม โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินของจำเลย จึงได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ต่อมาระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการชำระภาษี โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล จำเลยได้มีคำสั่งที่ ท.401/2532 ลงวันที่ 22 กันยายน2532 สั่งกักของที่โจทก์นำเข้าโดยอ้างอำนาจตามมาตรา 112 เบญจแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และได้มีหนังสือที่ กค.0609(รฟ.) 495 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2532 แจ้งว่าได้สั่งงดพิธีการใบขนสินค้าขาเข้าของโจทก์แล้ว จึงเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ ท.401/2532 ลงวันที่ 22 กันยายน2532 และคำสั่งตามหนังสือที่ กค.0609 (รฟ.) 495 ลงวันที่ 13พฤศจิกายน 2532
จำเลยให้การว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ตรวจพบว่าก่อนคดีนี้โจทก์ได้นำสินค้าอื่นเข้ามา ในราชอาณาจักร และโจทก์ได้สำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายอันแท้จริง ทำให้อากรขาดไปเมื่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจสอบและทำการประเมินแล้ว โจทก์จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มเติมอีก รวมทั้งสิ้น 2,799,496 บาท จำเลยแจ้งการประเมินให้ทราบแล้ว โจทก์ไม่ยอมชำระ โดยขอทุเลาการชำระอากรที่ประเมินเพิ่มเพื่อรอผลการอุทธรณ์ราคา แต่จำเลยมีคำสั่งไม่ผ่อนผันให้ทุเลาการชำระอากร และให้โจทก์ชำระอากรที่ขาดพร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายให้ครบถ้วนโดยจำเลยได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมชำระ จำเลยจึงมีคำสั่งให้งดรับปฏิบัติพิธีการศุลกากรแก่โจทก์ เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้ไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า การที่อธิบดีกรมศุลกากรจำเลยใช้อำนาจตามมาตรา 112 เบญจแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515กักสินค้าที่โจทก์นำเข้าโดยงดผ่านพิธีการใบขนสินค้าขาเข้าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามประเด็นดังกล่าวมีปัญหาว่าการที่จำเลยประเมินภาษีอากรเพิ่มสำหรับสินค้าที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้ารวม 36 ฉบับ และโจทก์ยังไม่ชำระภาษีอากรเพิ่ม แต่ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และต่อมาได้ฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลย คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางนั้นจะถือว่าภาษีอากรที่จำเลยประเมินเพิ่มดังกล่าวเป็นภาษีอากรค้างชำระอันจะให้อำนาจอธิบดีกรมศุลกากรจำเลยกักสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาภายหลังและกำลังฝ่ายศุลกากรหรือไม่ เห็นว่า อำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรตามมาตรา 112 เบญจ ดังกล่าวแล้ว เป็นอำนาจที่กฎหมายให้ไว้เป็นพิเศษเพื่อเก็บภาษีอากรที่ค้างชำระอยู่ให้เสร็จสิ้นล่วงไปโดยรวดเร็ว จึงให้อำนาจอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายที่จะกักของใด ๆ ของผู้ที่ค้างชำระภาษีอากรซึ่งกำลังผ่านศุลกากร จนกว่าจะได้ชำระเงินอากรที่ค้างจนครบ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินภาษีอากรเพิ่มสำหรับสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้ารวม 36 ฉบับซึ่งผ่านศุลกากรไปแล้ว และแจ้งให้โจทก์ชำระภาษีอากรเพิ่มแล้วโจทก์ จึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรดังกล่าว และแม้ว่าโจทก์จะอุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดีอยู่ก็ตาม ต้องถือว่าภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินเพิ่มและแจ้งให้โจทก์ชำระแล้วเป็นภาษีอากรค้างชำระโดยไม่ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาเสียก่อน โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระให้เสร็จไปโดยรวดเร็วสมความมุ่งหมายในการจัดเก็บภาษีอากรส่วนกรณีที่โจทก์อ้างว่าโจทก์จำเลยยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่เพราะโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการที่จำเลยเรียกให้ชำระภาษีอากรเพิ่มและนำคดีมาสู่ศาล จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นภาษีอากรค้างชำระนั้น เห็นว่าเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายดังกล่าวแล้ว ทั้งภาษีอากรเพิ่มที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ทราบเป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่จำเลยเรียกร้องให้โจทก์ชำระได้ตามกฎหมาย ภาษีอากรดังกล่าวจึงถือเป็นภาษีอากรค้างชำระ อย่างไรก็ตาม หากต่อมาศาลพิพากษาในคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจำเลยประเมินภาษีอากรเพิ่มไม่ชอบ จำเลยย่อมมีหน้าที่คืนภาษีอากรดังกล่าวให้โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ฉะนั้นเมื่อถือว่าเป็นภาษีอากรค้างชำระ อธิบดีกรมศุลกากรจึงใช้อำนาจกักสินค้าของโจทก์ตามฟ้องในคดีนี้ไว้จนกว่าโจทก์จะชำระค่าภาษีอากรที่ค้างได้ คำสั่งกักสินค้าของอธิบดีกรมศุลกากรจึงชอบด้วยกฎหมาย
อนึ่ง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยไม่ชอบ ศาลชั้นต้นควรให้โอกาสโจทก์นำพยานเข้าสืบก่อนนั้น เห็นว่า คำสั่งให้งดสืบพยานดังกล่าวของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 กุมภาพันธ์2533 โจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามมาตรา 226แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share