แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา
ทำลายทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่ผู้นั้นอพยพย้ายออกไปจากที่ดินนั้นแล้ว ไม่ว่าที่ดินนั้นจะเป็นที่สาธารณหรือของบุคคลใดก็ดี หากบุคคลนั้นยังหวงแหนว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนอยู่ก็ถือว่า มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้เสียหายถึงขนาดหรือทำโดยแกล้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินปลูกเคหะสถานอยู่อาศัยของนายเหรียญ แล้วตัดฟันทำลายต้นผลไม้พืชผลของนายเหรียญ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359, 362, 363, 365, 83, 84
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่ผู้เสียหายหาว่าจำเลยบุกรุกเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งนายอำเภออ้างว่าเป็นที่สาธารณะ และฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินในคดีแพ่งแดงที่ 15/2495 เมื่อจำเลยชนะคดีก็เข้าใจว่าเป็นที่ดินของจำเลย จำเลยเข้าปราบที่นี้ จึงยังถือว่ามีเจตนาบุกรุกไม่ได้
ส่วนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ฟังว่า จำเลยไม่มีอำนาจทำลายพืชผลที่ผู้เสียหายปลูกไว้ จำเลยจึงมีความผิด
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษบุกรุกด้วย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องฐานทำให้เสียทรัพย์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะปลูกพืชผล และจำเลยตัดฟันจริงจึงยกฟ้องฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานบุกรุกโดยอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ส่วนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยตัดฟันทำลายทรัพย์ของผู้เสียหายจริง ถึงแม้ผู้เสียหายจะรื้อกระท่อมไปแล้วก็ดี แต่ทรัพย์เหล่านั้นผู้เสียหายก็ยังกล่าวฝากเพื่อนบ้านให้ดูแลไว้ แสดงว่ายังหวงแหนเป็นของตนอยู่ และการทำลายทรัพย์ผู้อื่นนี้เมื่อเห็นผลอยู่แล้วว่าทำให้ทรัพย์ของเขาเสียหายก็พอแล้วไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้เสียหายถึงขนาดแกล้ง
พิพากษาแก้ บังคับคดีลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น