คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งห้าหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฏพอที่จะให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมดังที่ได้ความตามทางพิจารณาศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่
จำเลยกล่าวหลอกลวง ว. ผู้เสียหายที่บ้าน ว. ขณะนั้นมี ย. ม. ป.ผู้เสียหายและชาวบ้านอื่นอยู่ด้วย เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวแก่ ว. แล้วผู้เสียหายอื่นไปได้ยินเข้าเอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายอื่นและชาวบ้านหากแต่ผู้เสียหายอื่นได้ยินแล้วเชื่อและชำระเงินให้จำเลย ถือได้ว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเป็นรายบุคคลมิได้หลอกลวงประชาชน จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คดีนี้โจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลชดำที่ 3672/2526 ของศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวไม่ได้ เพราะคดีนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษา โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2672/2526 หมายเลขแดงที่ 3332/2526 ของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑,๓๔๓ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๕๒,๕๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย ๕ คน และนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๖๙/๒๕๒๖,๒๖๗๐/๒๕๒๖ และ ๒๖๗๒/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๖๙/๒๕๒๖, ๒๖๗๐/๒๕๒๖ และที่ ๒๖๗๒/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓, ๘๓ จำคุก ๔ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๕๒,๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายทั้ง ๕ คน และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๖๙/๒๕๒๖ คดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๗๐/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๗๒/๒๕๒๖ ศาลยังไม่พิพากษาไม่นับโทษต่อให้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๙๑ ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ ๘ เดือนรวมจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้ส่งมอบเงินแก่จำเลยจริงตามฟ้อง จำเลยย่อมมีความผิดฐานฉ้อโกง และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า ปัญหาต่อไปจำเลยฎีกาว่า ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกรรมไม่ได้นั้นเห็นว่า แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งห้าหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฏพอที่จะให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมดังที่ได้ความตามทางพิจารณา ดังนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหลายกรรมจึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต่อไปจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยกล่าวหลอกลวงนายสวัสดิ์ที่บ้านนายสวัสดิ์ วันต่อมาจำเลยจึงไปกล่าวหลอกลวงนายวินัยที่บ้านนายวินัย นายวินัยเบิกความว่าจำเลยเป็นเพื่อนกับนายวินัยไปหานายวินัยที่บ้านแล้วจำเลยกล่าวหลอกลวงนายวินัยขณะที่จำเลยกล่าวหลอกลวงนายวินัยมีนายยศ นายไมย์ นายประเทียนชัย และชาวบ้านอื่นอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ความว่าจำเลยกล่าวหลอกลวงนายยศ นายไมย์ นายประเทียนชัย และชาวบ้าน จึงฟ้องข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์แก่จำเลยว่า เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวแก่นายวินัยแล้วผู้เสียหายอื่นไปได้ยินเข้าเอง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายอื่นและชาวบ้าน หากแต่ผู้เสียหายอื่นได้ยินแล้วเชื่อและชำระเงินให้จำเลย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวจึงถือได้ว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายเป็นบุคคล จำเลยมิได้หลอกลวงประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลจะต้องนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๗๒/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๗๒/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวไม่ได้ เพราะคดีนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษา โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๗๒/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๓๓๓๒/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียว จำคุก ๘ เดือน ให้จำเลยคืนเงิน ๑๕๑,๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายทั้งห้า และให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๓๓๒/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้นด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share