คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 686/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

รถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยที่1กับพวกใช้แล่นไล่ตามและขับปาดหน้ารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายให้หยุดเพื่อทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ศาลมีอำนาจสั่งริบตามป.อ.มาตรา33.

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 จำคุกคนละ 20 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน และจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นศาลหลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1หนึ่งในสี่ จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78จำคุกจำเลยที่ 1 15 ปี จำเลยที่ 2 13 ปี 4 เดือน รถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้ริบเสีย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากนี้ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ” ฯ รถจักรยานยนต์ของกลางที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่ามิใช่ทรัพย์ที่คนร้ายได้ใช้ในการกระทำความผิดจึงไม่ริบ โจทก์ฎีกาว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 และพวกอีก 1 คน รถจ้กรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยกับพวกได้ใช้ในการกระทำความผิด ปัญหาว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลพึงสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) นั้นต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไปว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำความผิดหรือไม่ รถจักรยานยนต์ของกลางคดีนี้จำเลยที่ 1 ใช้ขับขี่โดยมีพวกนั่งซ้อนท้าย แล่นไล่ตามและขับปาดหน้ารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายให้หยุด เพื่อที่จะทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ถือได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่1 กับพวก ได้ใช้ในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ริบเสียได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.”

Share