คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5210/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นอิสลามศาสนิกอยู่ในจังหวัดนราธิวาส โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของ จ. บิดาโจทก์และจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าที่ดินดังกล่าวมิใช่ทรัพย์มรดกของ จ. แต่เป็นของ ต. มารดาจำเลยทั้งสอง ซึ่งในการที่จะวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่จะนำกฎหมายอิสลามมาใช้บังคับไม่ได้ต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นหลักวินิจฉัยก่อน ต่อเมื่อทรัพย์สินนั้นเป็นมรดกแล้วจึงจะใช้กฎหมายอิสลามในการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทต่อไป คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาททั้งที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายอิสลามและที่มิใช่ข้อกฎหมายอิสลามปะปนกันอยู่ การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่มีดะโต๊ะยุติธรรมนั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษา การพิจารณาคดีจะไม่เป็นการชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลฯ มาตรา 4 วรรคแรก ก็แต่เฉพาะข้อพิพาทที่ต้องใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับเท่านั้น การพิจารณาคดีในประเด็นข้อพิพาทที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ต. มารดาของจำเลยทั้งสอง หรือเป็นมรดกของ จ. บิดาของโจทก์และจำเลยทั้งสอง และประเด็นข้อพิพาทที่ว่าคดีขาดอายุความแล้วหรือไม่ ทั้งสองข้อนี้หาใช่ข้อกฎหมายอิสลามที่ดะโต๊ะยุติธรรมจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดไม่แม้ดะโต๊ะยุติธรรมจะมิได้ร่วมนั่งพิจารณาด้วย ก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นต้องเสียไปแต่อย่างใดการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องขอส่วนแบ่งมรดกแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 เนื่องจากโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลยทั้งสองเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายและโจทก์ก็ทราบวันเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ส่วนที่จำเลยทั้งสองเบิกความว่าหากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นมรดกของ จ. ก็จะยอมแบ่งให้แก่โจทก์นั้นเป็นเพียงการแสดงความบริสุทธิ์ใจของจำเลยทั้งสองที่ไม่ประสงค์จะฉ้อโกงโจทก์หาใช่เป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 ที่ต้องแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งก่อนการฟ้องคดีไม่ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ส่วนที่โจทก์อ้างมาในฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ในคดีนี้ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน และเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม โจทก์เป็นบุตรคนเดียวของนายเจ๊ะแม เจ๊ะมะ เจ้ามรดกกับนางยาตี ส่วนจำเลยทั้งสองและนายเปาะซา เจ๊ะแม เป็นบุตรของนายเจ๊ะแมกับนางตีเมาะ เมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2534 นายเจ๊ะแมถึงแก่ความตาย ก่อนที่นายเจ๊ะแมตายได้หย่ากับนางตีเมาะมารดาของจำเลยทั้งสองตามหลักศาสนาอิสลามและแบ่งทรัพย์สินระหว่างกัน โดยนายเจ๊ะแมได้รับส่วนแบ่งเป็นที่ดินตามจำนวน 2 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ น.ส.3 ก. เลขที่ 3594 และเลขที่ 3589 ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นมรดกคดีนี้ หลังจากนายเจ๊ะแมตายยังไม่มีการแบ่งปันมรดกให้แก่ทายาท ต่อมาโจทก์เรียกให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินมรดกของนายเจ๊ะแมให้จัดการแบ่งปันมรดกแก่โจทก์ตามหลักศาสนาอิสลาม แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมแบ่งปัน โจทก์ร้องเรียนต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสเพื่อประนีประนอมในการแบ่งมรดกแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3594 และเลขที่ 3589 เป็นมรดกของนายเจ๊ะแมให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินดังกล่าวทั้ง 2 แปลง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองและให้แบ่งปันมรดกดังกล่าวให้โจทก์ 2 ส่วน จำนวน 1 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา

จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่มรดกของนายเจ๊ะแมแต่เป็นของนางตีเมาะมารดาของจำเลยทั้งสองที่ได้รับส่วนแบ่งในการหย่ากับนายเจ๊ะแม ซึ่งมารดาของจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ก่อนมารดาของจำเลยทั้งสองจะถึงแก่ความตายได้โอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยทั้งสอง ต่อมานายเจ๊ะแมถึงแก่ความตายได้มีการแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2594ให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกและโจทก์ได้รับมรดกไปตามส่วนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้แบ่งปันมรดกของนายเจ๊ะแมอีกเพราะคดีขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 เนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้แบ่งมรดกจากจำเลยทั้งสองเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าการพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นโดยไม่มีดะโต๊ะยุติธรรมนั่งพิจารณาด้วย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 หรือไม่ โดยโจทก์อ้างมาในฎีกาว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์และวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองรวม 4 นัด ไม่ปรากฏว่ามีดะโต๊ะยุติธรรมร่วมนั่งพิจารณาด้วย จึงเป็นการดำเนินการพิจารณาที่ไม่ชอบ ส่วนในวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ไม่มีการสืบพยานแม้จะมีดะโต๊ะยุติธรรมลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าไม่ชอบและถือว่าไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นอิสลามศาสนิกอยู่ในจังหวัดนราธิวาส โดยโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของนายเจ๊ะแมบิดาของโจทก์และจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางตีเมาะมารดาของจำเลยทั้งสองที่ได้รับส่วนแบ่งในการหย่ากับนายเจ๊ะแม ไม่ใช่มรดกของนายเจ๊ะแมซึ่งในการที่จะวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่จะนำกฎหมายอิสลามมาใช้บังคับไม่ได้ต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลักวินิจฉัยก่อนต่อเมื่อได้ความว่าทรัพย์สินนั้นเป็นมรดกแล้วจึงจะใช้กฎหมายอิสลามในการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทต่อไป ฉะนั้น คดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาททั้งที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายอิสลามและที่มิใช่ข้อกฎหมายอิสลามปะปนกันอยู่ การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่มีดะโต๊ะยุติธรรมนั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษาการพิจารณาคดีจะไม่เป็นการชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีนราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 มาตรา 4 วรรคแรก ก็แต่เฉพาะข้อพิพาทที่ต้องใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับเท่านั้น การพิจารณาคดีในประเด็นข้ออื่นหาได้อยู่ในบังคับที่ต้องมีดะโต๊ะยุติธรรมร่วมพิจารณาด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อประเด็นข้อพิพาทที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางตีเมาะมารดาของจำเลยทั้งสอง หรือเป็นมรดกของนายเจ๊ะแมบิดาของโจทก์และจำเลยทั้งสอง และประเด็นข้อพิพาทที่ว่าคดีขาดอายุความแล้วหรือไม่ ทั้งสองข้อนี้หาใช่ข้อกฎหมายอิสลามที่ดะโต๊ะยุติธรรมจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดไม่ เช่นนี้ แม้ดะโต๊ะยุติธรรมจะมิได้ร่วมนั่งพิจารณาด้วย ก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นต้องเสียไปแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้สละประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 และจำเลยทั้งสองไม่ได้ยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ในชั้นพิจารณา ศาลจะอ้างอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/29 นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้คดีอย่างชัดแจ้งว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องขอส่วนแบ่งมรดกแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 เนื่องจากโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลยทั้งสองเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายและโจทก์ก็ทราบวันเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย และในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองก็นำสืบว่าเจ้ามรดกถึงแก่ความตายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 โดยนำสำเนามรณบัตรมาแสดงด้วย จึงเป็นการนำสืบตามข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความแล้วส่วนที่จำเลยทั้งสองเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่า หากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นมรดกของนายเจ๊ะแมก็จะยอมแบ่งให้แก่โจทก์นั้นเป็นเพียงการแสดงความบริสุทธิ์ใจของจำเลยทั้งสองที่ไม่ประสงค์จะฉ้อโกงโจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ยังเบิกความต่อไปว่าเหตุที่ไม่ยอมแบ่งเนื่องจากเป็นที่ดินของนางตีเมาะตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบและยืนยันตลอดมา หาใช่เป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 ที่ต้องแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งก่อนการฟ้องคดีไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนที่โจทก์อ้างมาในฎีกาอีกประการหนึ่งว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ในคดีนี้มีไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายืน

Share