แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินมีโฉนดให้ และโจทก์ได้ครอบครองมา 10 ปีกว่าแล้ว ขอให้จำเลยโอนแก้ทะเบียนให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายหรือใไ้ถอนชื่อจำเลยออกใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดแทน จำเลยต่อสู้ว่าได้มอบที่ดินให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ประเด็นตกเป็นหน้าที่โจทก์นำสืบก่อน เพราะภาระการพิสูจน์ว่า การครอบครองของโจทก์ได้เป็นไปโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของยังคงตกอยู่แก่โจทก์ ทั้งนี้เพราะการอ้างถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามมาตรา 1382 สหรับที่ดินที่มีหนังสือสำคัญ แสดงกรรมสิทธิว่าเป็นของผู้อื่นอยู่แล้วนั้น ผู้อ้างจะต้องแสดงหลักฐานให้เป็นที่พอใจต่อศาลจึงจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแสดงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิเพื่อการจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 7) 2486 มาตรา 14 และกฎกระทรงมหาดไทยลงวันที่ 1 มกราคม 2486 ข้อ 1
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ซึ่งเป็นการไม่ชอบ การที่จำเลยต้องขาดนัดพิจารณาเพราะหน้าที่นำสืบก่อนต้องตกแต่จำเลยโดยไม่ชอบเช่นนี้ เป็นการสมควรให้ได้มีการพิจารณาคดีใหม่ โดยดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
ฟ้องขอให้ศาลบังคับลูกหนี้กระทำการชำระหนี้ตามสัญญาที่ได้ทำกันไว้ อันเป็นการขอให้บังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้น จะต้องฟ้องเสียภายในระยะเวลา 10 ปี มิฉะนั้นขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทมีชื่อนายมูลนางแก้วเป็นผู้ถือกรรมสิทธิในโฉนด จำเลยรับมรดกแล้วเมื่อ ๑๘ ปีมานี้ จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินนั้นให้โจทก์เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยเสร็จแล้ว จำเลยได้มอบโฉนดและที่ดินให้โจทก์ครอบครองตลอดมา บัดนี้จำเลยไม่ยอมแก้ทะเบียนโอนให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจัดการประกาศรับมรดก และโอนขายให้โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายหรือมอบโฉนดและที่ดินให้โจทก์ สัญญษที่กล่าวอ้าง โจทก์ทำปลอมขึ้น นางสอยไปกู้เงินโจทก์มา ๕๐๐ บาทโฉนดและที่ดินจึงตกอยู่แก่โจทก์
จำเลย ซึ่งศาลสั่งให้มีหน้าที่นำสืบก่อน ขาดนัดพิจารณาศาลไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ โจทก์ไม่ขอสืบพยานคงส่งแต่สัญญาซื้อขาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คู่ความรับกันว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทมากว่า ๑๐ ปี เมื่อจำเลยไม่มีพยานสืบหักล้างว่า ไม่ใช่ครอบครองปกปักษ์ ย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี พิพากษาให้ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามฟ้องของ โจทก์ที่ตั้งรูปคดีมาให้ศาลบังคับจำเลยได้กระทำการชำระหนี้ตามสัญญาที่ได้ทำกันไว้ อันเป็นการขอให้บังคับตามสิทธิเรียกร้องและตามสัญญาซื้อขายนี้อาจจะอนุโลมไปได้ว่า เป็นเพียงสัญญาซื้อขายก็ดี แต่ก็มีข้อสัญญาในข้อ ๓ ว่าจำเลยขอสัญญาว่าจะไปโอนโฉนดให้ดจทก์ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๔๗๓ ซึ่งเรื่องนี้จำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ สิทธิเรียกร้องขอให้บังคับจำเลยให้กระทำการชำระหนี้โดยไปจัดการโอนแก้ทะเบียนโฉนดให้โจทก์ตามสัญญานั้น โจทก์มิได้ใช้บังคับเสียภายในระยะเวลา ๑๐ ปี ตกเป็นอันขาดอายุความ ห้ามมิให้ฟ้องร้องเสียแล้ว
คำขอของโจทก์อีกข้อหนึ่ง ซึ่งพอจะตีความหมายได้ว่าโจทก์กล่าวอ้างการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรม คืได้มาในอายุความได้สิทธิตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๘๒ ก็ดี แต่ตามหลักกฎหมายในเรื่องนี้มาตรา ๑๓๗๓ ได้บัญญัติว่า ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยทางอายุความได้สิทธิแล้ว โจทก์จะต้องแสดงให้ปรากฏต่อศาลว่าโจทก์ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นไว้โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี คดีนี้จำเลยเถียงอยู่ว่า โจทก์นำยึดถือที่ดินนั้นไว้โดยนางสอยมอบให้ทำกินต่างดอกเบี้ย ศาลฎีกาเห็นว่า การอ้างถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ว่าเป็นของผู้อื่นอยู่แล้วนั้น ศาลจึงจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแสดงการได้มาซึ่งสิทธิ เพื่อการจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน(ฉบับที่ ๗)๒๔๘๖ มาตรา ๑๔ และกฎกระทรงมหาดไทยลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๖ ข้อ ๑
คดีนึ้ตามฟ้องโจทก์และคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยข้อเท็จจริงยังเถียงกันอยู่ ประเด็นในข้อนี้ตกเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสือก่อนก่อน เพราะภาระการพิสูจน์ว่า การครอบครองของโจทก์ได้เป็นไปโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของยังตกอยู่แก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน จึงไม่ตรงกับความเห็นของศาลฎีกา และการที่จำเลยต้องขาดนัดพิจารณา เพราะหน้าที่นำสืบก่อนแก่จำเลยโดยไม่ชอบเช่นนี้ เห็นสมควรให้ได้มีการพิจารณาคดีใหม่
จึงพร้อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เสีย ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาคดีใหม่ โดยดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัยดังกล่าวข้างต้นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ