แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยยังมีที่ดินและยังประกอบกิจการโรงพิมพ์อยู่นั้นแสดงว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอยู่มาก และยังประกอบกิจการมีรายได้จึงมีทางขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ส่วนการที่จำเลยไม่เคยเสียภาษีเงินได้นั้น มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่าจำเลยไม่มีรายได้สำหรับเงินฝาก แม้จำเลยจะนำมาฝากก่อนเบิกความ 2 วัน ก็ถือเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์อาจบังคับชำระหนี้ได้ แม้จำเลยเป็นหญิงมีสามี ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นสินสมรสจะต้องแบ่งครึ่ง จึงไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์นั้น เป็นเรื่องชั้นบังคับคดีที่จะต้องว่ากล่าวกันภายหลัง ยังไม่อาจทราบว่าหนี้ที่จำเลยค้างชำระเมื่อบังคับคดีพอชำระหนี้หรือไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่ควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นบริษัทราชาเงินทุนจำกัด จำนวน 500 หุ้น ราคาหุ้นละ 2,350 บาท โจทก์ชำระราคาค่าหุ้นแทนจำเลยเป็นเงิน 1,175,000 บาท และค่านายหน้าร้อยละ 0.5 ของเงินดังกล่าวจำนวน 5,875 บาท รวมเป็นเงิน 1,180,875 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวเป็นหนังสือ พร้อมทั้งบอกกล่าวบังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงิน และขายทอดตลาดตั๋วสัญญาใช้เงิน ได้เงินจำนวน 465,308.84 บาท จึงนำเงินไปหักชำระหนี้คิดถึงวันที่ 25สิงหาคม 2523 จำเลยเป็นหนี้ต้นเงิน 715,566.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวน 292,408.19 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2523 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 852,466.36 บาทรวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ 1,860,440.60 บาท ก่อนฟ้องโจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ 2 ครั้งระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยได้รับหนังสือแล้วยังคงเพิกเฉย หนี้ดังกล่าวกำหนดจำนวนได้แน่นอน จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นดังกล่าวตามฟ้อง หรือแม้จะฟังได้ว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อ ก็ขอปฏิเสธว่าโจทก์มิได้ซื้อหุ้นให้ตามฟ้อง จึงไม่มีภาระหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์ ก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวให้ชำระหนี้หรือบอกกล่าวบังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงิน การทวงถามของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีภูมิลำเนาแน่นอน ประกอบอาชีพโดยสุจริตและเปิดเผย และมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จากทางนำสืบของจำเลยนอกจากจะปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 8583 ตามเอกสารหมาย ล.2 พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังที่วินิจฉัยมาแล้ว จำเลยยังประกอบกิจการโรงพิมพ์มีแท่นพิมพ์แบบออฟเซ็ท 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งซื้อมาจากบริษัทสำนักพิมพ์พัฒนศึกษา จำกัด ในราคา 490,000 บาทและอีกเครื่องหนึ่งซื้อจากนายปัญญา ธรรมวิทย์ ในราคา 700,000 บาทตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.6 และสัญญาซื้อขายเอกสารหมายล.7 และยังมีเงินฝากจำนวน 614,663.09 บาท ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเซีย จำกัด ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ล.8กับเงินจำนวน 400,330.39 บาท ตามบัญชีออมทรัพย์ที่ธนาคารกสิกรไทย เอกสารหมาย ล.9 หลักฐานที่จำเลยอ้างอิงเป็นพยานนี้ไม่มีข้อพิรุธสงสัย แสดงว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอยู่มากและยังประกอบอาชีพมีรายได้อาจชำระหนี้ให้โจทก์ได้ที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่าแท่นพิมพ์แบบออฟเซ็ท 2 เครื่องดังกล่าว จำเลยไม่ได้นำผู้ขายแท่นพิมพ์มาเบิกความให้ปรากฏ และที่จำเลยกล่าวอ้างว่าประกอบกิจการโรงพิมพ์ก็ไม่มีพยานใด ๆ มายืนยัน คงมีแต่ตัวจำเลยเบิกความลอย ๆนอกจากนี้จำเลยไม่เคยเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ประกอบกิจการโรงพิมพ์และเป็นเจ้าของแท่นพิมพ์ดังกล่าวจริง ส่วนเงินฝากจำนวน 600,000 บาทเศษ และ 400,000 บาทเศษ ตามเอกสารหมาย ล.8 และ ล.9 จำเลยนำไปฝากก่อนมาเบิกความ 2 วัน เชื่อได้ว่าจำเลยขอยืมเงินจากบุคคลอื่นมาฝากไว้ ยิ่งกว่านั้นจำเลยเป็นหญิงมีสามี ทรัพย์สินของจำเลยย่อมไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้เพราะต้องแบ่งครึ่งเห็นว่า แท่นพิมพ์แบบออฟเซ็ท 2 เครื่อง ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.6และ ล.7 ว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อ โจทก์มิได้โต้เถียงว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม แม้จำเลยมิได้นำผู้ขายแท่นพิมพ์และพยานอื่น ๆมาสืบ เอกสารดังกล่าวก็เป็นข้อยืนยันคำเบิกความของจำเลยให้รับฟังได้ว่าจำเลยประกอบกิจการโรงพิมพ์จริง เมื่อจำเลยยังประกอบกิจการโรงพิมพ์อยู่จึงมีทางขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ส่วนการที่จำเลยไม่เคยเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่าจำเลยไม่มีรายได้ สำหรับเงินฝากจำนวน 600,000 บาทเศษ และ 400,000 บาทเศษ แม้จำเลยนำมาฝากก่อนเบิกความ 2 วัน ก็ถือเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์อาจบังคับชำระหนี้ได้ และที่จำเลยเป็นหญิงมีสามี ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นสินสมรสจะต้องแบ่งครึ่ง จึงไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์นั้น เป็นเรื่องชั้นบังคับคดีที่จะต้องว่ากล่าวกันภายหลัง ยังไม่อาจทราบได้ว่าหนี้ที่จำเลยค้างชำระโจทก์ เมื่อบังคับคดีพอชำระหนี้ได้หรือไม่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานของจำเลยได้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่ควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.