แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประกาศว่าด้วยการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งมีผลผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามนับแต่วันที่จำเลยประกาศใช้เป็นต้นไป แม้ต่อมาในปี 2540 จำเลยจะประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โดยมีบทเฉพาะกาลว่าพนักงานที่ครบเกษียณอายุแล้วจะได้รับเงินที่จำเลยจ่ายสมทบให้พร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งหากคำนวณแล้วยอดเงินที่จะได้รับเมื่อรวมกับค่าชดเชยแล้วได้น้อยกว่าเงินบำเหน็จที่ได้กำหนดไว้ในประกาศเดิม จำเลยจะจ่ายเพิ่มให้ในส่วนที่ขาดอยู่เพื่อให้ได้รับเท่ากับอัตราที่กำหนดไว้ในประกาศฉบับเดิมข้อบังคับดังกล่าวจึงขัดแย้งกับประกาศฉบับเดิม และมิใช่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เป็นคุณยิ่งกว่า เมื่อโจทก์ไม่ได้ตกลงยินยอมให้จำเลยแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเรื่องการให้เงินบำเหน็จ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์
ค่าชดเชยเป็นเงินที่กฎหมายบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้กระทำผิด ส่วนเงินบำเหน็จตามประกาศมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติงานหรือเป็นสวัสดิการพิเศษ อันมีลักษณะเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนคุณงามความดีของลูกจ้าง จึงมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เมื่อประกาศมิได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่าเงินบำเหน็จที่โจทก์พึงจะได้รับนั้นให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าชดเชย จึงไม่อาจถือเอาได้ว่าเงินค่าชดเชยที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์แล้วนั้นได้รวมเอาเงินบำเหน็จไว้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยออกประกาศว่าด้วยการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่ประจำของบริษัทจำเลยเพื่อให้เงินบำเหน็จเป็นค่าตอบแทนการทำงานของพนักงานในลักษณะเป็นเงินสงเคราะห์ซึ่งถือว่าประกาศฉบับดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เมื่อโจทก์เกษียณอายุ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามประกาศฉบับดังกล่าว แต่จำเลยไม่จ่ายเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จ่ายเงินชดเชยรวมเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามสิทธิประโยชน์ที่จำเลยกำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีหนี้สินใด ๆ ติดค้างโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ประกาศว่าด้วยการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่ประจำบริษัทจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 นั้น เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งมีผลผูกพันให้จำเลยจะต้องปฏิบัติตามนับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2522 อันเป็นวันที่จำเลยประกาศใช้เป็นต้นไป และแม้ต่อมาในปี 2540 จำเลยจะประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 โดยมีบทเฉพาะกาลว่าพนักงานที่ครบเกษียณอายุแล้วจะได้รับเงินที่บริษัทฯ จ่ายสมทบให้พร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามระเบียบที่ได้กำหนดไว้ หากคำนวณแล้วยอดเงินที่จะได้รับเมื่อรวมกับค่าชดเชยที่ได้รับตามระเบียบฉบับนี้แล้วได้น้อยกว่าเงินบำเหน็จที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบฉบับเดิม ทางบริษัทฯ จะจ่ายเพิ่มให้ในส่วนที่ขาดอยู่เพื่อให้ได้รับเท่ากับอัตราที่กำหนดไว้ในระเบียบฉบับเดิมก็ตาม แต่บทเฉพาะกาลดังกล่าวนั้น มีความหมายว่าหากพนักงานที่ครบเกษียณอายุได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมกับจำนวนค่าชดเชยแล้ว มีจำนวนมากกว่าเงินบำเหน็จที่ได้รับตามประกาศว่าด้วยการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่ประจำบริษัทของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยก็จะไม่จ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงานที่ครบเกษียณอายุนั้นอีก บทเฉพาะกาลตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย ล.1 จึงขัดแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องประกาศว่าด้วยการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่ประจำของบริษัทตามเอกสารหมาย จ.2 และมิใช่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เป็นคุณยิ่งกว่า เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องการให้เงินบำเหน็จให้เป็นไปตามบทเฉพาะกาลของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ค่าชดเชยเป็นเงินที่กฎหมายบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้กระทำผิด โดยมีหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้ ส่วนเงินบำเหน็จตามประกาศว่าด้วยการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่ประจำบริษัทของจำเลยตามเอกสารหมายจ.2 นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติงานหรือเป็นสวัสดิการพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ประจำของจำเลยที่ได้ปฏิบัติงานให้จำเลยด้วยดีตลอดมาโดยไม่มีความผิด อันมีลักษณะเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนคุณงามความดีของลูกจ้าง ฉะนั้น วัตถุประสงค์และหลักการของการจ่ายค่าชดเชยกับเงินบำเหน็จตามประกาศเอกสารหมาย จ.2 จึงแตกต่างกัน เมื่อประกาศการให้เงินบำเหน็จแก่เจ้าหน้าที่ประจำบริษัทของจำเลยตามเอกสารหมายจ.2 มิได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่าเงินบำเหน็จที่โจทก์พึงจะได้รับนั้นให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าชดเชยที่โจทก์ได้รับจากจำเลยในกรณีที่ค่าชดเชยมีจำนวนมากกว่าเงินบำเหน็จจึงไม่อาจถือเอาได้ว่าเงินค่าชดเชยที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์แล้วนั้นได้รวมเอาเงินบำเหน็จจำนวน 300,000 บาทที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยตามประกาศการให้เงินบำเหน็จเอกสารหมายจ.2 ไว้แล้ว”
พิพากษากลับ ให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์