แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ จำเลย และผู้ร้องสอดในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกับคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 เมื่อคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าต่อจำเลยด้วยการนำตึกแถวพิพาทไปให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีนั้นย่อมผูกพันโจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา145 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีนี้โจทก์นำสืบและฎีกามาว่า การที่โจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงตึกแถวพิพาท โจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าเพราะมีบันทึกท้ายหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวมีกำหนด25 ปี และสัญญาเช่าตึกแถวยินยอมให้โจทก์นำตึกแถวพิพาทออกให้เช่าช่วงได้ และแม้โจทก์จะฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาตัวแทนที่ดูประหนึ่งว่ามิได้เกี่ยวกับประเด็นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่3772/2529 ของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ตามเนื้อหาแห่งคดีที่โจทก์นำสืบและเนื้อความแห่งฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์โต้เถียงว่าโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าต่อจำเลยในการที่โจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าตึกแถวพิพาท ซึ่งเป็นการโต้เถียงประเด็นเดียวกันกับในคดีดังกล่าวนั่นเอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นวัดและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีพระเทพรัตนดิลกเป็นเจ้าอาวาส เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2514โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนกันโดยจำเลยให้โจทก์ปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้น เลขที่ 1-19 ถึงเลขที่ 1/22 แขวงอนุสาวรีย์เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ลงบนที่ดินของจำเลยแล้วโจทก์ยกตึกแถวที่สร้างให้เป็นของจำเลย และจำเลยจดทะเบียนให้โจทก์เช่าตึกแถวดังกล่าวมีกำหนด 25 ปี จำเลยอนุญาตให้โจทก์โอนสิทธิการเช่าหรือให้เช่าช่วงได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 18มิถุนายน 2525 โจทก์ได้ทำสัญญาให้นายทวีศักดิ์ แซ่ลิ้มเช่าช่วงมีกำหนด 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งพระเทพรัตนดิลกเจ้าอาวาสและกรรมการจำเลยทราบดี ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2528 นายทวีศักดิ์ได้ใช้ตึกแถวที่เช่าช่วงทำเป็นอู่ซ่อมรถยนต์ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อยู่ตึกแถวโจทก์ว่ากล่าวตักเตือน แต่นายทวีศักดิ์ไม่เชื่อฟังโจทก์จึงปรึกษากับเจ้าอาวาสและกรรมการจำเลย โจทก์ได้รับคำแนะนำให้ดำเนินคดีแก่นายทวีศักดิ์ ต่อมาโจทก์มอบให้จำเลยเป็นตัวแทนโจทก์ ดำเนินการฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์และนายทวีศักดิ์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 ของศาลชั้นต้น โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ในคดีดังกล่าวโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และนายทวีศักดิ์ นายทวีศักดิ์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ในระหว่างนั้นจำเลยมีการเปลี่ยนกรรมการชุดใหม่ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2532 นายทวีศักดิ์ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ จำเลยซึ่งเป็นโจทก์คดีดังกล่าวไม่ค้านและคดีได้ถึงที่สุดจำเลยมิได้รายงานผลคดีให้โจทก์ทราบ ทั้งยังทำการนอกเหนืออำนาจของตัวแทนกล่าวคือจำเลยทำสัญญาให้นายทวีศักดิ์เช่าตึกแถวเลขที่ 1/19 ถึงเลขที่ 1/22 กับจำเลยโดยตรงและรับเงินค่าเช่าและค่าเสียหายที่นายทวีศักดิ์นำมาวางต่อศาลชั้นต้นในชั้นขอทุเลาการบังคับโดยไม่แจ้งและไม่จัดทำบัญชีส่งให้โจทก์เมื่อการเป็นตัวแทนได้สิ้นสุดลงเป็นการกระทำผิดหน้าที่ตัวแทนทำให้โจทก์เสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 260,000 บาท จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและจำเลยต้องส่งมอบตึกแถวดังกล่าวให้โจทก์เช่าต่อจนครบสัญญาเช่าในเดือนตุลาคม 2544 เป็นเวลา 10 ปี 10 เดือน หากไม่สามารถส่งมอบได้จำเลยต้องชดใช้ค่าเช่าให้แก่โจทก์ ซึ่งปัจจุบันให้เช่าได้เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันครบสัญญา จำนวน 130 เดือน เป็นเงิน 910,000 บาท และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2532 โจทก์ได้ส่งค่าเช่า ค่าภาษีโรงเรือนและค่าประกันภัยตามสัญญาเช่าให้แก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับโดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีความผูกพันกับจำเลยอีกต่อไป โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้หรือคืนเงินจำนวน260,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยส่งมอบตึกแถวเลขที่ 1/19 ถึงเลขที่ 1/22 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขนกรุงเทพมหานคร ให้โจทก์ครอบครองต่อจนถึงเดือนตุลาคม 2544หากไม่สามารถส่งมอบให้ได้ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 910,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาต่างตอบแทนกับโจทก์จำเลยให้นายเจริญพร อุ่นจิตต์ และนายบุญสม ชูสวัสดิ์ เช่าที่ดินของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ มีกำหนด 25 ปี เพื่อก่อสร้างอาคารพาณิชย์และตลาดผ้ากับตลาดสดในส่วนอาคารพาณิชย์เมื่อก่อสร้างเสร็จผู้เข้าจองจะต้องออกเงินช่วยค่าก่อสร้างให้แก่นายเจริญพรและนายบุญสม จำเลยสัญญาจะให้ผู้จองได้จดทะเบียนการเช่ากับจำเลยโดยตรง และให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยทันที ให้จำเลยมีอำนาจเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือนจากผู้เช่าโจทก์ได้จองตึกแถวโดยช่วยออกเงินค่าก่อสร้างห้องเลขที่ 1/19ถึงเลขที่ 1/22 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2521 จำเลยได้จดทะเบียนการเช่าให้แก่โจทก์ทั้งสี่คูหา มีกำหนด 25 ปี นับแต่วันที่1 พฤศจิกายน 2519 เป็นต้นไป สัญญาเช่าระบุห้ามิให้โจทก์เอาตึกแถวไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง ถ้าจะเช่าช่วงต้องให้จำเลยยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2530โจทก์ได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 1/19 และเลขที่ 1/20ให้แก่นายเจนชัย ทรัพย์ทวีสุข และจำเลยได้จดทะเบียนเปลี่ยนตัวผู้เช่าตึกแถวทั้งสองคูหา สำหรับตึกแถวเลขที่ 1821และเลขที่ 1/22 โจทก์อ้างว่าได้ทำสัญญาให้นายทวีศักดิ์ แซ่ลิ้มเช่าช่วงโดยเจ้าอาวาสและกรรมการของจำเลยทราบดีนั้นไม่เป็นความจริงและเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม จำเลยไม่อาจต่อสู้ได้ถูกว่าจำเลยเพียงแต่ทราบเฉย ๆ หรือทราบโดยทำเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งถ้าโจทก์เอาตึกแถวออกให้เช่าช่วง จำเลยก็ไม่จำเป็นต้องรับทราบ เพราะถ้าแจ้งให้จำเลยทราบ โจทก์ก็ต้องมีหนังสือขอความยินยอมจากจำเลยก่อนตามสัญญาที่โจทก์อ้างว่าเจ้าอาวาส และกรรมการจำเลยทราบดีนั้น โจทก์อ้างขึ้นเพื่อมิให้จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่า จำเลยเพิ่งทราบเรื่องโจทก์ให้นายทวีศักดิ์เช่าช่วงตึกแถวเมื่อประมาณปี 2528 เพราะมีผู้ร้องเรียนว่านายทวีศักดิ์ใช้ตึกแถวที่เช่าช่วงประกอบกิจการอู่ซ่อมรถยนต์ทำให้ผู้อยู่ตึกแถวใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อนรำคาญ จำเลยได้ตักเตือนโจทก์แต่ไม่เป็นผลนายทวีศักดิ์ยังคงประกอบกิจอู่ซ่อมรถยนต์เช่นเดิม จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์และฟ้องขับไล่โจทก์กับนายทวีศักดิ์ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาขับไล่คนทั้งสองออกจากตึกแถวพิพาทตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 ของศาลชั้นต้น การฟ้องคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ฟ้องในฐานะตัวแทนของโจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างต่อมานายทวีศักดิ์ได้ขอเช่าตึกแถวต่อจำเลยโดยตรงโดยรับว่าจะไม่ประกอบกิจการอันเป็นการรบกวนชาวบ้านอีก จำเลยเห็นว่าคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ถึงที่สุด จึงอนุญาตให้นายทวีศักดิ์เช่าตึกแถวเลขที่ 1/21 และเลขที่ 1/22 โดยตรงต่อจำเลย จำเลยกระทำไปโดยสุจริต หาใช่เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ทำนอกเหนืออำนาจของตัวแทนดังที่โจทก์อ้างไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในการที่โจทก์ขาดรายได้จากค่าเช่าเป็นเงิน 260,000 บาท และจำเลยไม่ต้องส่งมอบตึกแถวเลขที่ 1/19 ถึงเลขที่ 1/22 ให้โจทก์เช่าต่อไปหรือชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 910,000 บาท ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายทวีศักดิ์ แซ่ลิ้มยื่นคำร้องสอดขอเข้าแทนที่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าตึกแถวเลขที่1/21 และเลขที่ 1/22 หรือตึกแถวพิพาทเป็นตึกแถวจำนวน 2 คูหาในจำนวนตึกแถวทั้งหมดประมาณ 100 คูหา ของจำเลยที่นายเจริญพร อุ่นจิตต์ กับนายบุญสม ชูสวัสดิ์ เช่าที่ดินของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ ที่ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อเรียกเก็บค่าก่อสร้างเอาจากผู้เช่าแล้วยกกรรมสิทธิ์ในบรรดาตึกแถวเหล่านั้นทั้งหมดให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2521 โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากจำเลยมีกำหนด 25 ปี โดยจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ รายละเอียดปรากฏตามหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวมีกำหนด25 ปี และสัญญาเช่าตึกแถวเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 การได้มาซึ่งสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาท โจทก์ต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้แก่นายเจริญพรและนายบุญสมจำนวน 48,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามสัญญาต่างตอบแทนกรณีการเช่าที่ดินเพื่อสร้างอาคารพาณิชย์ชนิด 3 ชั้น เอกสารหมาย จ.3 ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน2525 โจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าตึกแถวพิพาทมีกำหนด 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามหนังสือสัญญาเช่าบ้านเอกสารหมาย ล.1 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 ของศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดได้ใช้ตึกแถวพิพาทประกอบกิจการอู่ซ่อมรถยนต์สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ผู้อยู่ตึกแถวข้างเคียงมีผู้ร้องเรียนการกระทำของผู้ร้องสอดไปยังเจ้าอาวาสและกรรมการของจำเลย จำเลยจึงฟ้องขับไล่โจทก์และผู้ร้องสอดต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงตึกแถวพิพาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าต่อจำเลย ให้ขับไล่โจทก์และผู้ร้องสอดออกจากตึกแถวพิพาท รายละเอียดปรากฏตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ส่วนโจทก์ไม่อุทธรณ์ ระหว่างอุทธรณ์จำเลยตกลงให้ผู้ร้องสอดทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทและผู้ร้องสอดถอนอุทธรณ์ทำให้โจทก์ไม่ได้สิทธิเช่าตึกแถวพิพาทอีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องจำเลย พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรวินิจฉัยในชั้นนี้เป็นเบื้องแรกว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่3772/2529 อันถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าที่ให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงตึกแถวพิพาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยและให้ขับไล่โจทก์กับผู้ร้องสอดแล้วโจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ในการฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่3772/2529 ของศาลชั้นต้นและจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาตัวแทนจำเลยต้องส่งมอบตึกแถวพิพาทให้โจทก์ครอบครองต่อไปและเรียกร้องค่าเสียหายเอาแก่จำเลยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้ได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ จำเลยและผู้ร้องสอดในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกับคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 เมื่อคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่3772/2529 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าต่อจำเลยด้วยการนำตึกแถวพิพาทไปให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีนั้นย่อมผูกพันโจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง นั่นก็หมายถึงว่าโจทก์จะกล่าวอ้างอีกไม่ได้ว่า การที่โจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงตึกแถวพิพาทโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่า เมื่อคดีนี้โจทก์นำสืบและฎีกามาว่าการที่โจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าช่วงตึกแถวพิพาท โจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าเพราะมีบันทึกเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ท้ายหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวมีกำหนด 25 ปี และสัญญาเช่าตึกแถวเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ยินยอมให้โจทก์นำตึกแถวพิพาทออกให้เช่าช่วงได้ และแม้โจทก์จะฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาตัวแทนที่ดูประหนึ่งว่ามิได้เกี่ยวกับประเด็นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่3772/2529 ของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ตามเนื้อหาแห่งคดีที่โจทก์นำสืบและเนื้อความแห่งฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์โต้เถียงว่าโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าต่อจำเลยในการที่โจทก์ให้ผู้ร้องสอดเช่าตึกแถวพิพาท ซึ่งเป็นการโต้เถียงในประเด็นเดียวกันกับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3772/2529 ของศาลชั้นต้นนั่นเอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่3772/2529 ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และคดีไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษายืน