คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่สิบตำรวจโท ว.ขอร่วมประเวณีกับจำเลยเพื่อพิสูจน์คำร้องเรียนว่ามีการค้าประเวณีในสถานที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ ตามคำสั่งพนักงานสอบสวน แล้วจำเลยยอมร่วมประเวณีและรับเงินจากสิบตำรวจโท ว.นั้น ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบแต่อย่างใด
แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบ นวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณีโดยจัดให้มีหญิงบริการทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้ว สถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการอาบน้ำ นวด อบตัว บังอาจเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล ผู้จัดการสถานการค้าประเวณีสถานบริการดังกล่าว และเปิดสถานบริการก่อนเวลาที่ทางราชการกำหนด กับได้ยินยอมให้ผู้อื่นทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระในสถานบริการนั้น จำเลยที่ ๒ บังอาจค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณีสถานบริการดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๓ (๓) , ๑๗, ๒๔,๒๗ กฎกระทรวง พ.ศ. ๒๕๐๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ ข้อ ๖ พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ มาตรา ๓ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สลร.๑/๒๕๑๗ เรื่องการใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๑๗ พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๖,๙,๑๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๙,๑๐ ให้ลงโทษตามมาตรา ๙ อันเป็นบทหนัก ปรับ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๖ ให้ปรับ ๖๐๐ บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ๒ ประการคือ (๑) การที่พนักงานสอบสวนสั่งการให้สิบตำรวจโทวิรัชเข้าไปขอรับบริการอาบ อบ นวด จากจำเลยที่ ๒ แล้วร่วมประเวณีกับจำเลยที่ ๒ และให้เงินแก่จำเลยที่ ๒ นั้น เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ จะอ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดมิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖ และ (๒) สถานที่ของจำเลยเป็นสถานที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการอาบ อบ นวด สิบตำรวจโทวิรัชได้เข้าไปอาบนวดด้วย จึงยังไม่เป็นสถานการค้าประเวณีดังที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อสิบตำรวจโทวิรัชขอร่วมประเวณีกับจำเลยที่ ๒ เพื่อพิสูจน์คำร้องเรียนว่ามีการค้าประเวณีในสถานที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ตามคำสั่งพนักงานสอบสวนแล้วจำเลยที่ ๒ ยอมร่วมประเวณีและรับเงินจากสิบตำรวจโทวิรัชดังที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้นไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ และวินิจฉัยต่อไปว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะได้รับใบอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบ นวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณีโดยจัดให้มีหญิงบริการเช่นจำเลยที่ ๒ ทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้ว สถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔ ด้วย
พิพากษายืน.

Share