แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องผู้มีชื่อเป็นจำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอเข้าเป็นจำเลยร่วมจำเลยร่วมต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดศาลพิพากษาว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ยกฟ้องคดีถึงที่สุดไปแล้ว แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอได้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมอีก ดังนี้ คำพิพากษาในคดีเดิมย่อมผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดซึ่งเป็นคู่ความกันมาแล้ว (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก) โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์อีกหาได้ไม่ และย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากผู้ร้องสอดห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าทำนาของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของครอบครองในที่พิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์โรงเรียนบ้านบักดอก โจทก์เคยพิพาทกับโรงเรียนเกี่ยวกับที่พิพาทคดีถึงที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของโจทก์ฟ้องซ้ำ
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และนายอำเภอปราสาทเข้าเป็นจำเลยร่วม อ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์เคยฟ้อง และศาลพิพากษาว่าเป็นที่ดินขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ศาลอนุญาต
โจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดรับว่าที่พิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินในคดีแพ่งแดงที่ ๔๔/๒๕๑๒
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมโจทก์ฟ้องนายดา ใบพลูทอง เป็นจำเลยหาว่าบุกรุกเข้าไปปักหลักในที่ดินของโจทก์ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๒ นายดาให้การว่า ที่ดินเป็นของโรงเรียนวัดดอกบัวทอง(วัดบ้านบักดอก) โจทก์ขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และนายอำเภอปราสาทเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาตเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และนายอำเภอประสาทให้การทำนองเดียวกันว่าที่ดินตามฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๒ เป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแลรักษา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๒ แล้วพิพากษาว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดไปแล้ว บัดนี้โจทก์มาฟ้องนายปรีกับพวกเป็นจำเลยในคดีนี้ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และนายอำเภอปราสาทได้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมอีกโจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดรับกันว่าที่พิพาทซึ่งโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ได้พิพาทกันมาแล้วในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๒
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๒ ซึ่งโจทก์และผู้ร้องสอดเคยพิพาทกันมาแล้ว ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่พิพาทไม่ใช่เป็นของโจทก์ฉะนั้น คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และผู้ร้องสอดซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ วรรคแรก โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์อีกหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากผู้ร้องสอดศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน