คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5172/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยสามารถวิ่งเต้นพนักงานอัยการและผู้พิพากษา ล้มคดีให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ และเรียกเอาเงินเพื่อนำไปให้พนักงานอัยการและผู้พิพากษาเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อและได้มอบเงินจำนวน 58,000 บาทแก่จำเลยไป การกระทำของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน และถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองใช้ให้จำเลยกระทำผิด แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้นำเงินไปเป็นค่าวิ่งเต้นคดีก็ตาม โจทก์ทั้งสองก็มิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่ฟ้องคดีความผิดฐานฉ้อโกงได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน ก่อนเกิดเหตุคดีนี้โจทก์ทั้งสองถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่าจะช่วยวิ่งเต้นล้มคดีให้แก่โจทก์ทั้งสอง โดยจะต้องเสียค่าวิ่งเต้นพนักงานอัยการและผู้พิพากษารวมเป็นเงิน 200,000 บาท เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษา ยกฟ้อง ซึ่งเป็นความเท็จ โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงได้จ่ายเงินค่าวิ่งเต้นให้แก่จำเลยไปรวม 58,000 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) บัญญัติว่า “ผู้เสียหาย” หมายความถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง ฯลฯ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยสามารถวิ่งเต้นพนักงานอัยการและผู้พิพากษาล้มคดีให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ และเรียกเอาเงินเพื่อนำไปให้พนักงานอัยการและผู้พิพากษาเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อได้มอบเงินจำนวน 58,000 บาท แก่จำเลยไป การกระทำของโจทก์ทั้งสอง ดังนี้ มีวัตถุประสงค์เป็นการร่วมกับจำเลยในการนำสินบนไปให้เจ้าพนักงาน อันอาจถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองใช้ให้จำเลยกระทำความผิด แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้นำเงินไปเป็นค่าวิ่งเต้นคดีก็ตาม โจทก์ ทั้งสองก็มิใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีในความผิดฐานฉ้อโกงมาฟ้องจำเลยได้ ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งสองใน ข้ออื่นไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share