แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การกระทำของจำเลยทั้งแปดที่ร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ที่ดินเพิ่มขึ้นอันเป็นการทำให้รัฐต้องสูญเสียที่ดินไปย่อมทำให้รัฐเสียหาย แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มจากที่ได้ทำสัญญาไว้ โจทก์ก็เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินเท่านั้น หาได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยทั้งแปดไม่ เมื่อโจทก์ไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มตาม น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157,162 และ 267 ที่ดินที่โจทก์ตกลงซื้อจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เพียง 6 ไร่เศษ แต่โจทก์จำเลยกลับทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันในเนื้อที่ถึง ไร่เศษ ทั้งยังตกลงกันอีกว่า หาก น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่มีเนื้อที่ดินเพิ่มจากที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายโจทก์ก็จะชำระราคาเพิ่ม การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยนำชี้ที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะได้เนื้อที่ดินมากกว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เดิมจำนวน 1 ไร่เศษ นั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้ร่วมรู้และประสงค์จะได้เนื้อที่ดินที่เกินจากหลักฐานราชการบางส่วนด้วยจึงเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดแม้จำเลยจะได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มาแสดงต่อโจทก์ เพื่อให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 91, 137, 157, 162, 341, 267, 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 80 ให้ประทับฟ้องส่วนข้อหาอื่นตามมาตรา 137, 157, 162, 267, 268 โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงที่จะฟ้องคดีเองได้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามทางไต่สวนมูลฟ้องข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ประสงค์จะซื้อที่ดินชายทะเล นายนุกูล รักษ์สงคราม ซึ่งเป็นนายหน้าขายที่ดินจึงได้นำโจทก์กับพวกไปพบจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6เสนอขายที่ดินพิพาททั้ง 3 แปลงให้โจทก์ในราคาตารางวาละ 3,500 บาทคิดเป็นเงินค่าซื้อขายทั้งหมด 10,381,000 บาท โจทก์เห็นสภาพที่ดินแล้วพอใจ ต่อมาในวันที่ 27 เมษายน 2533 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 โดยจำเลยที่ 7 ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 6 เป็นผู้เขียนสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์วางมัดจำให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 รับไปจำนวน 3,000,000 บาท นัดจดทะเบียนโอนที่ดินและรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 7,381,000 บาท ในวันที่ 22 มกราคม2534 แต่ขณะนั้นเนื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ทั้ง 3 แปลงตามเอกสารหมาย จ.4, จ.5 และ จ.6 มีเนื้อที่จำนวน6 ไร่ 1 งาน 18 ตารางวาแต่ในการทำสัญญาจะซื้อขายระบุจำนวนเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 66 ตารางวา หากมีจำนวนเนื้อที่ขาดหรือเกินจากเนื้อที่ดังกล่าวข้างต้นเท่าใดผู้จะซื้อและผู้จะขายยินยอมเพิ่มหรือลดราคากันตามส่วนในราคาตารางวาละ 3,500 บาท โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 รับจะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ให้เรียบร้อยก่อนวันจดทะเบียนโอนและวันทำสัญญาจะซื้อขาย โจทก์ได้มอบเงินจำนวน 20,000 บาท ให้จำเลยที่ 7จัดการล้อมรั้วรอบที่ดินเสียใหม่ เนื่องจากรั่วเดิมมีสภาพเก่าชำรุดทรุดโทรม หลังจากนั้นโจทก์กับพวกได้ไปตรวจดูที่ดินและรั้วใหม่สังเกตเห็นว่ารั้วลวดหนาม เสาปูนที่ทำใหม่อยู่ในแนวเขตรั้วไม้เดิม ต่อมาในเดือนตุลาคม 2533 โจทก์ได้นำผู้ซื้อที่ดินพิพาทคนใหม่ ซึ่งจะซื้อที่ดินต่อจากโจทก์ไปดูที่ดิน ในต้นเดือนมกราคม2534 นายประทีป ปิติสันต์ ตัวแทนของโจทก์ได้สอบถามจำเลยที่ 7เรื่องการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินจำเลยที่ 7 แจ้งว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วได้เนื้อที่ดินทั้งหมดจำนวน8 ไร่ 61 ตารางวา นายประทีปเห็นเป็นจำนวนเนื้อที่เกินไปจากสัญญาจะซื้อขายจึงให้จำเลยที่ 7 นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ดังกล่าว มาให้นายประทีปดู และนายประทีปได้นำไปให้โจทก์และสามีโจทก์ตรวจดูแล้วสงสัยโจทก์ต้องการให้มีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินใหม่ เพราะโจทก์จะต้องจ่ายเงินค่าซื้อเพิ่มขึ้นจำนวน2,600,500 บาท เนื่องจากได้เนื้อที่ดินเพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม1 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา มิฉะนั้นโจทก์จะไม่ทำการจดทะเบียนโอนที่ดินจำเลยที่ 7 จึงยินยอมให้โจทก์ทำการรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดิน และได้มีการตกลงเลื่อนวันจดทะเบียนโอนที่ดินออกไปหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2534 โจทก์ได้มอบหมายให้นายประทีปนำหัวหน้าช่างรังวัดจากกรมที่ดินไปทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินเป็นการส่วนตัว โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7ทราบ ผลการรังวัดตรวจสอบตามแนวรั้วโดยไม่มีการตัดแนวเขตถนนจำนวน5 เมตร ออกได้เนื้อที่ดินทั้ง 3 แปลงจำนวน 7 ไร่ 1 งาน 36 ตารางวาและหากมีการรังวัดถึงแนวที่น้ำทะเลท่วมถึงก็จะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 2 งาน 88 ตารางวา และหากรังวัดตามแนวรั้วเดิมจนถึงบริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึงโดยไม่หักแนวเขตถนนออกก็จะได้เนื้อที่ดินทั้ง 3 แปลง จำนวน 8 ไร่ 24 ตารางวา นายประทีป ตัวแทนโจทก์จึงได้แจ้งให้จำเลยที่ 7 ทราบ และนัดให้จำเลยที่ 7 มารับหลักฐานเอกสารการตรวจสอบ หลังจากนั้นจำเลยที่ 7 โต้แย้งว่าการตรวจสอบและการรังวัดมิได้ดำเนินการเป็นทางราชการ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7ยอมรับไม่ได้และขอรังวัดตรวจสอบใหม่ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534 แต่ผลการรังวัดตกลงกันไม่ได้
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดเกี่ยวกับเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 157, 162 และ267 หรือไม่จากข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนพยานโจทก์ถึงการกระทำของจำเลยทุกคนจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่อ้างว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น อันเป็นการทำให้รัฐสูญเสียที่ดินไปการกระทำของจำเลยทุกคนดังกล่าวจึงเป็นการทำให้รัฐเสียหาย ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายด้วยเพราะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มจากที่ได้ทำสัญญาไว้นั้นโจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินเท่านั้นหาได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำผิดอาญาของจำเลยทั้งแปดไม่ หากโจทก์ไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มตาม น.ส.3 ก.ที่ออกใหม่เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นโจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 157, 162 และ 267 ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 ได้ความว่าที่ดินที่โจทก์ตกลงซื้อจากจำเลยทั้งหกมีเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เพียง 6 ไร่ 1 งาน 18 ตารางวา แต่โจทก์จำเลยกลับทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันในเนื้อที่ถึง 7 ไร่ 1 งาน 66ตารางวาเกินไปกว่าหลักฐานของทางราชการจำนวนมาก ทั้งยังตกลงกันต่อไปอีกว่า หากน.ส.3 ก. ที่ออกใหม่จำนวนเนื้อที่ขาดหรือเกิน7 ไร่ 1 งาน 66 ตารางวา ผู้จะซื้อและผู้จะขายยินยอมให้เพิ่มหรือลดราคาลงในราคาตารางวาละ 3,500 บาท แสดงว่า หากมีเนื้อที่ดินเพิ่มจากที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายโจทก์ก็จะชำระราคาเพิ่มในราคาตารางวาละ 3,500 บาท การที่จำเลยทั้งหกขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยนำชี้ที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะได้เนื้อที่ดินมากกว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เดิมจำนวน1 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา นั้นถือได้ว่าโจทก์ได้ร่วมรู้และประสงค์จะได้เนื้อที่ดินที่เกินจากหลักฐานราชการบางส่วนด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด แม้จำเลยจะได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มาแสดงต่อโจทก์เพื่อให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน