คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น จึงทำให้รัฐเสียหาย โจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดิน หากไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินส่วนนี้ได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157,162 และ 267ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 นั้น โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 เกินไปกว่าเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 1 ไร่เศษ โดยมีข้อตกลงให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตารางวาละ 3,500 บาท ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 91, 137, 157, 162, 341, 267, 268 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 80 ให้ประทับฟ้องส่วนข้อหาอื่นตามมาตรา 137, 157, 162, 267, 268 โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงที่จะฟ้องคดีเองได้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดเกี่ยวกับเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 157,162 และ 267 หรือไม่ จากข้อเท็จจริงตามทางไต่สวน พยานโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น อันเป็นการทำให้รัฐสูญเสียที่ดินไป การกระทำของจำเลยทุกคนดังกล่าวจึงเป็นการทำให้รัฐเสียหายที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายด้วยเพราะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มจากที่ได้ทำสัญญาไว้นั้น โจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินเท่านั้น หาได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำผิดอาญาของจำเลยทั้งแปดไม่ หากโจทก์ไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มตาม น.ส.3 ก.ที่ออกใหม่เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 157, 162 และ 267 ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 ได้ความว่าที่ดินที่โจทก์ตกลงซื้อจากจำเลยทั้งหกมีเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เพียง 6 ไร่ 1 งาน 18 ตารางวา แต่โจทก์จำเลยกลับทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันในเนื้อที่ถึง 7 ไร่ 3 งาน66 ตารางวาเกินไปกว่าหลักฐานของทางราชการจำนวนมาก ทั้งยังตกลงกันต่อไปอีกว่า หาก น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่จำนวนเนื้อที่ขาดหรือเกิน7 ไร่ 1 งาน 66 ตารางวา ผู้จะซื้อและผู้จะขายยินยอมให้เพิ่มหรือลดราคาลงในราคาตารางวาละ 3,500 บาท แสดงว่า หากมีเนื้อที่ดินเพื่อจากที่ระบุไว้ ในสัญญาจะซื้อขายโจทก์ก็จะชำระราคาเพิ่มในราคาตารางวาละ 3,500 บาท การที่จำเลยทั้งหกขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยนำชี้ที่รุกล้ำที่สาธารณะได้เนื้อที่ดินมากกว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เดิมจำนวน1 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา นั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้ร่วมรู้และประสงค์จะได้เนื้อที่ดินที่เกินจากหลักฐานราชการบางส่วนด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด แม้จำเลยจะได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มาแสดงต่อโจทก์เพื่อให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้
พิพากษายืน

Share