คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1654/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ให้แก่ อ. แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ข้อ 1.3 โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 2 มาแล้วว่า เมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ของกลาง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.376 กรัม อันเป็นการบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง และเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ที่โจทก์บรรยายฟ้องมาในข้อ 1.3 จึงครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง และตามรายงานการตรวจพิสูจน์เมทแอมเฟตามีนของกลาง ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้าน เมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ของกลาง ตรวจพบปริมาณเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.376 กรัม ซึ่งเป็นการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนมาตรวจพิสูจน์หาปริมาณสารบริสุทธิ์แล้ว เมื่อเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ของกลาง เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จึงคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ได้เช่นเดียวกันว่า คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป โดยไม่มีข้อสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่แตกต่างกับเมทแอมเฟตามีนส่วนอื่นที่จะทำให้ปริมาณสารบริสุทธิ์คำนวณได้ไม่ถึงสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป กรณีจึงลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ได้ ซึ่งตามมาตรา 100/1 บัญญัติว่า ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง โดยไม่ปรับด้วยนั้น จึงไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 80, 91 ริบของกลาง และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2556 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน และมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธว่ามิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และให้การปฏิเสธข้อหาอื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กับฐานจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ให้ลงโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 17 ปี และปรับ 400,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี 16 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 2 ปี บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1023/2556 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุก 10 ปี 19 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (2), 66 วรรคหนึ่ง สำหรับฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จำคุก 4 ปี ไม่ลงโทษปรับ ลดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนกึ่งหนึ่งและลดโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุก 3 เดือน และ 2 ปี 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 8 ปี 35 เดือน บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษคดีนี้ เป็นจำคุก 8 ปี 38 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายเอกชัย พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด และชนิดเกล็ดใส 1 ถุง และจับกุมจำเลยพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ สำหรับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น จำเลยให้การรับสารภาพ ความผิดฐานดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด, 20 เม็ด, 40 เม็ด และชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น โจทก์มีร้อยตำรวจเอก โกวิท และจ่าสิบตำรวจ กิตติพงษ์ ผู้ร่วมจับกุมเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา พยานทั้งสองกับพวกร่วมกันจับกุมนายเอกชัยได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด และชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ซึ่งนายเอกชัยให้การว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาจากจำเลย โดยติดต่อซื้อขายกันทางโทรศัพท์ ดังนั้น พยานทั้งสองจึงให้นายเอกชัยโทรศัพท์ขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยโดยเปิดลำโพงโทรศัพท์ไว้ ปรากฏว่าจำเลยตกลงขายเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ราคาเม็ดละ 300 บาท นัดส่งมอบกันที่บริเวณทุ่งนาด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้านนาโพธิ์ ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น จากนั้นพยานทั้งสองกับพวกพร้อมด้วยนายเอกชัย เดินทางโดยรถกระบะไปยังจุดนัดหมาย ไปถึงนายเอกชัยได้ชี้พร้อมกับพูดว่าจำเลยรออยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งอยู่ห่างจากรถยนต์ของพยานประมาณ 20 เมตร พยานกับพวกบางส่วนเดินไปหาจำเลยและขอตรวจค้นตัวจำเลย พบเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด บรรจุถุงพลาสติกในกระเป๋าแขนเสื้อด้านซ้ายของจำเลย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง และเงินสด 34,490 บาท จากการสอบถามจำเลยให้การว่า ได้เตรียมเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมามอบให้แก่นายเอกชัย จากนั้นพยานทั้งสองกับพวกจึงพาจำเลยไปยังสถานีตำรวจภูธรแวงใหญ่ทำการตรวจร่างกาย พบสารเสพติดในปัสสาวะของจำเลย และตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ปรากฏว่ามีหมายเลขโทรศัพท์ของนายเอกชัยในโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายเอกชัย เป็นพยานเบิกความว่า หลังจากที่พยานถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง และพบสารเสพติดในร่างกาย เจ้าพนักงานตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่พยานว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพเมทแอมเฟตามีน พยานให้การรับสารภาพ โดยสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทางโทรศัพท์ จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้ให้พยานโทรศัพท์สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จำนวน 5 เม็ด ราคาเม็ดละ 300 บาท จำเลยตกลงและนัดหมายให้พยานไปรับเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณทุ่งนาทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านนาโพธิ์ พยานจึงพาเจ้าพนักงานตำรวจไปยังจุดนัดหมาย ไปถึงพบจำเลยยืนอยู่ตามลำพัง เจ้าพนักงานตำรวจ 2 คน ลงจากรถเดินไปหาจำเลย ส่วนพยานกับเจ้าพนักงานตำรวจอีกจำนวนหนึ่งรออยู่ภายในรถ ต่อมาประมาณ 20 นาที เจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวจำเลยมาที่รถแล้วพาพยานกับจำเลยไปที่สถานีตำรวจภูธรแวงใหญ่ ทำการสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนพูดกับพยานว่าหากให้ข้อมูลที่สำคัญจะได้รับประโยชน์ด้วยการลดโทษ พยานจึงแจ้งแก่พนักงานสอบสวนว่า พยานรู้จักจำเลยครั้งแรกเมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2557 พยานต้องการซื้อเมทแอมเฟตามีนและได้สอบถามนายอภิชาตหรือเปรียว ซึ่งเป็นญาติภรรยาของพยานว่ามีใครจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนบ้าง นายอภิชาตแนะนำว่าเคยเห็นจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน นายอภิชาตจึงพาพยานไปหาจำเลยที่บริเวณทุ่งนาด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้านนาโพธิ์ และพูดคุยกับจำเลยโดยพยานถามจำเลยว่ามีของแก้ไหม จำเลยตอบว่ามี ราคาเม็ดละ 300 บาท พยานขอซื้อ 2 เม็ด เป็นเงิน 600 บาท จากนั้นจำเลยไปล้วงเอาเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จากห่อยาเส้นมามอบให้แก่พยาน พยานขอหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่จากจำเลยแล้วพยานกับนายอภิชาตก็เดินทางกลับ ต่อมาประมาณ 10 วัน พยานโทรศัพท์ไปถามจำเลยว่ามีของแก้ไหม จำเลยตอบว่ามี พยานขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ในราคา 4,000 บาท จำเลยได้นัดหมายให้พยานไปรับเมทแอมเฟตามีนที่เดิม ตอนเย็นพยานจึงเดินทางไปหาจำเลย ซึ่งจำเลยก็หยิบเมทแอมเฟตามีนที่บรรจุในซองพลาสติกใสในถุงยาเส้นของจำเลยมามอบให้แก่พยานและพยานก็มอบเงิน 4,000 บาท ให้แก่จำเลยแล้วพยานก็เดินทางกลับ ต่อมาจำวันที่ไม่ได้ พยานโทรศัพท์ไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด จำเลยตอบว่ามีพร้อมกับเสนอเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดใสซองละ 3,000 บาท พยานจึงขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จำเลยตกลง จากนั้นพยานเดินทางไปหาจำเลย ระหว่างทางพบนายอภิชาตจึงบอกให้นายอภิชาตทราบ แล้วนายอภิชาตก็ขอแยกตัวไป เมื่อพยานพบจำเลยที่กระท่อมนา จำเลยได้มอบเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด และชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ให้แก่พยานแล้วพยานก็มอบเงิน 10,000 บาท ให้จำเลยไป ระหว่างทางที่พยานขับรถกลับได้พบนายอภิชาตอีก ซึ่งนายอภิชาตถามพยานว่าเข้าไปหาลูกพี่ได้ไหม พยานตอบว่าได้ พยานนำเมทแอมเฟตามีนไปเสพที่กระท่อมของพยานจนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง ซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีนที่พยานได้ซื้อจากจำเลยครั้งหลังสุด พยานให้การต่อพนักงานสอบสวนในฐานะผู้ต้องหา โดยพนักงานสอบสวนมิได้บังคับ ขู่เข็ญ จูงใจ หรือมีคำมั่นสัญญาใดๆ และยังให้การในฐานะพยาน และโจทก์มีนายอภิชาต เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2557 นายเอกชัยมาถามพยานว่าจะหาเมทแอมเฟตามีนให้ได้หรือไม่ พยานจึงได้แนะนำให้ไปถามจำเลย แต่นายเอกชัยไม่รู้จักกับจำเลยและขอให้พยานพาไปหาจำเลย จากนั้นพยานได้พานายเอกชัยไปหาจำเลยที่ทุ่งนาบ้านนาโพธิ์พร้อมกับแนะนำให้นายเอกชัยรู้จักจำเลย แล้วนายเอกชัยก็ได้ขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จากจำเลยเป็นเงิน 600 บาท ต่อมาประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2557 เวลากลางคืน ขณะที่พยานออกไปส่องกบบริเวณทุ่งนา พบนายเอกชัย ซึ่งนายเอกชัยบอกว่าจะไปหาจำเลย จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ไปทางเดียวกัน จนใกล้จะถึงกระท่อมนาของจำเลย ก็แยกจากกันประมาณ 20 นาที นายเอกชัยได้ขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากกระท่อมนาของจำเลยผ่านจุดที่พยานส่องกบอยู่ พยานก็ร้องเรียกนายเอกชัยอีกครั้งหนึ่งแล้วนายเอกชัยได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านไป เห็นว่า การกล่าวหาและจับกุมจำเลยดำเนินคดี แม้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากคำซัดทอดของนายเอกชัย ที่ถูกจับกุมในคดีอื่น แต่นายเอกชัยให้การต่อพันตำรวจตรี สุพรรณ์ พนักงานสอบสวนในคดีที่นายเอกชัยเป็นผู้ต้องหาทั้งในฐานะผู้ต้องหาและในฐานะพยาน หลังถูกจับเพียง 1 วัน และ 6 วัน ตามลำดับ จึงเป็นการยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวให้ผิดไปจากความจริงและในคดีดังกล่าวนายเอกชัยก็ให้การรับสารภาพ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยเพียงผู้เดียว หากเป็นการบอกเล่าเรื่องราวในการกระทำความผิดของตนยิ่งกว่าการปรักปรำจำเลยเสียอีก กับได้ความจากพันตำรวจตรี สุพรรณ์ พนักงานสอบสวนว่าพยานแจ้งข้อหานายเอกชัยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพเมทแอมเฟตามีนโดยผิดกฎหมาย นายเอกชัยให้การรับสารภาพกับให้การในรายละเอียดว่าเมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2557 นายเอกชัยได้ซื้อเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จากจำเลย ราคาเม็ดละ 300 บาท ต่อมาประมาณ 10 วัน นายเอกชัยได้ซื้อเมทแอมเฟตามีนอีก 20 เม็ด ราคา 4,000 บาท และวันที่ 2 สิงหาคม 2557 นายเอกชัยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยอีก 40 เม็ด ราคา 8,000 บาท และเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ราคา 3,000 บาท ตรงกับที่นายเอกชัยเคยให้การต่อพันตำรวจตรี สุพรรณ์ พนักงานสอบสวน ในชั้นพิจารณานายเอกชัยยังคงเบิกความยืนยันว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง โดยไม่มีเหตุผลใดที่นายเอกชัยจะต้องเบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย แม้คำเบิกความของนายเอกชัยที่กล่าวถึงการกระทำของจำเลยจะเป็นพยานซัดทอดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 หาได้ห้ามมิให้รับฟังพยานซัดทอดเลยเสียทีเดียวไม่ หากแต่ศาลพึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานดังกล่าวโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานอื่นประกอบมาสนับสนุน ได้ความจากนายอภิชาตพยานโจทก์ว่า พยานเป็นคนแนะนำให้นายเอกชัยไปติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย ทั้งพยานได้เห็นนายเอกชัยซื้อเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จากจำเลย และวันที่ 2 สิงหาคม 2557 พยานยังเห็นนายเอกชัยไปหาจำเลยอีก เมื่อนายอภิชาตไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนและไม่มีเหตุผลอันใดที่นายอภิชาตจะเบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย จึงเชื่อว่านายอภิชาตเบิกความตามความเป็นจริง นอกจากนี้ พันตำรวจตรี สุพรรณ์ พนักงานสอบสวนยังได้สอบปากคำนายเอกชัยและนายอภิชาตไว้ด้วย ทั้งได้ให้นายเอกชัยและนายอภิชาตพาไปดูสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งพันตำรวจตรี สุพรรณ์ได้ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ แผนที่สังเขปและถ่ายรูปไว้ด้วย เมื่อนำคำซัดทอดของนายเอกชัยในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาตามที่เบิกความตอบโจทก์ในตอนแรก มาพิจารณารับฟังประกอบคำเบิกความของนายอภิชาตและพันตำรวจตรี สุพรรณ์ พนักงานสอบสวน และการที่นายเอกชัยชี้ยืนยันจำเลยหลังการจับกุมจำเลยแล้ว ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด 20 เม็ด และ 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยผิดกฎหมาย ที่จำเลยเบิกความว่าไม่เคยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายเอกชัยทั้งสามครั้งดังกล่าว เป็นการเบิกความลอยๆ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น จะต้องปรากฏว่ามีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจริง โจทก์จะบรรยายฟ้องและนำสืบลอยๆ ว่าจำเลยเคยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องให้แก่นายเอกชัยหาได้ไม่นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์มีพยานหลักฐานมาสืบเพื่อยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิดจริง และพยานหลักฐานดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ก็ย่อมรับฟังลงโทษจำเลยได้ หาจำต้องได้เมทแอมเฟตามีนของกลางมาทั้งหมดไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต นั้น โจทก์มีนายเอกชัยเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อพยานถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจได้ให้พยานติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย พยานจึงโทรศัพท์ไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยจำนวน 5 เม็ด ราคาเม็ดละ 300 บาท โดยจำเลยนัดหมายให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณทุ่งนา จากนั้นพยานได้นำเจ้าพนักงานตำรวจเดินทางไปยังทุ่งนาตามที่นัดหมาย นอกจากนี้ โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอก โกวิทย์ และจ่าสิบตำรวจ กิตติพงษ์ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าเมื่อนายเอกชัยพาพยานทั้งสองไปถึงจุดนัดหมาย นายเอกชัยชี้บอกว่าชายที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้คือจำเลย พยานทั้งสองจึงเดินไปหาจำเลย แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลยพบเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด เงินสด 34,490 บาท และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง จึงยึดเป็นของกลาง เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามต่างเบิกความยืนยันว่า หลังจากจับกุมนายเอกชัยแล้ว นายเอกชัยรับว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย หลังจากนั้นร้อยตำรวจเอก โกวิทย์และจ่าสิบตำรวจ กิตติพงษ์ร่วมกันวางแผนจับกุมจำเลย โดยให้นายเอกชัยโทรศัพท์ติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย ซึ่งร้อยตำรวจเอก โกวิทย์และจ่าสิบตำรวจ กิตติพงษ์เบิกความยืนยันว่าได้ยินนายเอกชัยนัดหมายให้จำเลยนำไปส่งที่บริเวณทุ่งนา โดยขณะที่นายเอกชัยโทรศัพท์หาจำเลย ได้เปิดเสียงโทรศัพท์ออกทางลำโพงทำให้ได้ยินเสียงจำเลย ต่อมาจำเลยก็ได้มายืนอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณทุ่งนาตามที่นัดหมาย เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด เงินสดและโทรศัพท์เคลื่อนที่ พยานโจทก์ทั้งสองได้ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย ปรากฏว่ามีหมายเลข 08 9205 xxxx ของนายเอกชัยอยู่ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย นอกจากนี้ ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพ ที่จำเลยเบิกความว่าวันเกิดเหตุนายเอกชัยโทรศัพท์ไปหาจำเลยเพื่อถามหายาแก้ จำเลยตอบว่ามี 3 ถึง 4 เม็ด เนื่องจากจำเลยกับนายเอกชัยเคยเสพเมทแอมเฟตามีนด้วยกันหลายครั้ง แต่จำเลยไม่เคยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายเอกชัยนั้น เป็นการเบิกความลอยๆ จึงไม่มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟัง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การที่นายเอกชัยให้ข้อมูลกับเจ้าพนักงานตำรวจก็เพื่อหวังประโยชน์ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 เนื่องจากบันทึกการจับกุมไม่มีข้อเท็จจริงที่ระบุว่านายเอกชัยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า ถึงแม้ว่าตามบันทึกการจับกุมจะไม่มีข้อความดังกล่าว แต่ตามคำเบิกความของนายเอกชัยตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เจ้าพนักงานตำรวจได้แจ้งแก่นายเอกชัยว่า หากศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปรามปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำได้ก็เป็นเพียงการแจ้งให้นายเอกชัยทราบถึงโทษที่จะได้รับน้อยลงกว่าอัตราโทษตามกฎหมาย หากนายเอกชัยให้ข้อมูลที่สำคัญต่อเจ้าพนักงานมิใช่เรื่องการจูงใจให้นายเอกชัยให้การใส่ร้ายปรักปรำผู้อื่น ดังนั้น คำซัดทอดของนายเอกชัยที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา จึงรับฟังประกอบพยานโจทก์ได้ ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยนอกจากนี้ไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ให้แก่นายเอกชัย แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ข้อ 1.3 โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 2 มาแล้วว่า เมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด และชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ของกลาง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.376 กรัม อันเป็นการบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง และเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ที่โจทก์บรรยายฟ้องมาในข้อ 1.3 จึงครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง และตามรายงานการตรวจพิสูจน์เมทแอมเฟตามีนของกลาง ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้าน เมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ของกลาง ตรวจพบปริมาณเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.376 กรัม ซึ่งเป็นการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนมาตรวจพิสูจน์หาปริมาณสารบริสุทธิ์แล้ว เมื่อเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ของกลาง เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จึงคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง ได้เช่นเดียวกันว่า คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป โดยไม่มีข้อสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่แตกต่างกับเมทแอมเฟตามีนส่วนอื่นที่จะทำให้ปริมาณสารบริสุทธิ์คำนวณได้ ไม่ถึงสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป กรณีจึงลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ได้ ซึ่งตามมาตรา 100/1 บัญญัติว่า ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง โดยไม่ปรับด้วยนั้น จึงไม่ถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด กับชนิดเกล็ดใส 1 ถุง จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท เมื่อรวมกับโทษอื่น เป็นจำคุก 8 ปี 35 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษคดีนี้ รวมเป็นจำคุก 8 ปี 38 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share