คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ซึ่งรับราชการเป็นครูอยู่ที่ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ไปช่วยปฏิบัติราชการเป็นการภายในที่โรงเรียนอีก แห่งหนึ่งนับเป็นการเดินทางไปช่วยราชการชั่วคราวตามมาตรา 13(4) แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 โจทก์ย่อมมีสิทธิเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าพาหนะอันรวมถึงค่าเช่า ยานพาหนะ ค่าเชื้อเพลิงหรือพลังงานสำหรับยานพาหนะ ค่าระวางบรรทุกค่าจ้างคนหาบหาม และอื่น ๆ ทำนองเดียวกัน และค่าใช้จ่ายอื่นที่ จำเป็น ต้องจ่ายเนื่องในการเดินทางไปราชการมาตรา 14(21)(2)(3) และ (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับเดียวกัน กรณีเบี้ยเลี้ยงเดินทางนั้นปรากฏว่ามาตรา 18 แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวซึ่งแก้ไขโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการ เดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 มาตรา 3 บัญญัติให้เบิกได้ เพียงระยะเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ออกเดินทาง ถ้าเกินต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด สำหรับส่วนราชการ ใดที่ไม่มีปลัดกระทรวง ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจเช่นเดียว กับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงความจำเป็นและประหยัด เมื่อไม่ปรากฏว่าปลัดกระทรวงเจ้าสังกัดของกรมจำเลยที่ 1 อนุมัติ ให้โจทก์เบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางได้เพียงวันละ 50 บาท ตามบัญชี 1 อัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปราชการในราชอาณาจักร สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งระดับ 3 ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เป็นเวลา 120 วัน เท่านั้น สำหรับค่าพาหนะโจทก์เบิกได้ตลอดระยะเวลา ที่ไปช่วยราชการส่วนการที่โจทก์ระบุไว้ในคำร้องขอย้ายข้าราชการครู ที่ได้ยื่นไว้แก่จำเลยที่ 1 สละสิทธิไม่ขอเบิกค่าใช้จ่าย ในการขนย้าย ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะเดินทางนั้นเป็น การที่โจทก์สละสิทธิดังกล่าวเฉพาะกรณีที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ย้ายโจทก์ไปยังโรงเรียนที่โจทก์ประสงค์เท่านั้น แต่เมื่อ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ย้ายโจทก์ไปรับราชการ ประจำยังโรงเรียนอื่นอันมิใช่สถานที่ที่โจทก์ขอไว้ การแจ้งสละสิทธิ์ของโจทก์ย่อมไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางกับค่าพาหนะเดินทาง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นข้าราชการพลเรือน ระดับ 3ตำแหน่งอาจารย์ 1 โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา อำเภอกำแพงแสนจังหวัดนครปฐม สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการขณะยื่นฟ้องโจทก์ได้ลาออกจากราชการแล้ว จำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาลจำเลยที่ 2 เคยเป็นอธิบดีกรมสามัญศึกษา โจทก์ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการชั่วคราวตามคำสั่งของจำเลยทั้งสองที่โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2526 เป็นต้นมา และในวันที่ 31 สิงหาคม 2527 โจทก์ได้รับคำสั่งจากจำเลยทั้งสองให้ดำรงตำแหน่งใหม่ในลักษณะประจำที่โรงเรียนกำแพงแสนวิทยาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2527 โจทก์เคยได้รับเงินค่าเช่าที่พักระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม 2526 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2527จากเจ้าหน้าที่การเงินของสำนักงานศึกษาจังหวัดนครปฐมเมื่อเดือนเมษายน 2529 ส่วนเงินประเภทอื่น ๆ โจทก์ยังไม่ได้รับโจทก์มีสิทธิเบิกเงินค่าตอบแทน คือค่าเช่าที่พักระหว่างวันที่1 – 30 สิงหาคม 2527 รวม 30 วัน อัตราวันละ 65 บาท เป็นเงิน1,950 บาท ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม 2526ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2527 รวม 410 วัน อัตราวันละ 50 บาท เป็นเงิน20,500 บาท ค่าพาหนะเดินทางคือ ค่าโดยสารรถประจำทางไปกลับในวันเดียวจากบ้านพักไปโรงเรียนกำแพงแสนวิทยา เป็นเงิน 3,440 บาทและค่าขนย้ายครอบครัวเป็นเงิน 800 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น26,690 บาท แต่จำเลยที่ 1 ปฏิเสธไม่จ่ายให้โจทก์ อ้างว่าโจทก์ได้เสนอเงื่อนไขในแบบคำร้องขอย้ายว่าเมื่อจำเลยที่ 1 พิจารณาให้ย้ายแล้วไม่ผูกพันค่าขนย้าย ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าพาหนะการกล่าวอ้างของจำเลยที่ 1 เป็นการกล่าวอ้างไม่ตรงตามคำสั่งของจำเลยทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 26,690 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้น 26,690 บาทนับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2527 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 3 ปี 3 เดือนเป็นเงินดอกเบี้ย 6,504.69 บาท รวมเป็นเงิน 33,195.69 บาทและดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 26,690 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การไปช่วยราชการอันจะถือเป็นการเดินทางไปราชการชั่วคราวซึ่งมีสิทธิ์เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการได้จะต้องเป็นการเดินทางไปราชการชั่วคราวในระยะสั้นมิใช่เป็นการเดินทางไปประจำต่างสำนักงานเพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ ณ สำนักงานใหม่ จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการเป็นการภายในที่โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา โดยให้โจทก์ไปปฏิบัติราชการในลักษณะประจำ เพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ คือ จากตำแหน่งเดิมอาจารย์ 1โรงเรียนงิ้วรายบุญมีรังสฤษดิ์ ตำบลงิ้วราย อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม เพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ คืออาจารย์ 1 โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2526 แล้วต่อมาจำเลยที่ 1ได้มีคำสั่งให้โจทก์ดำรงตำแหน่งอาจารย์ 1 โรงเรียนกำแพงแสนวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2527 มิใช่การเดินทางไปช่วยราชการชั่วคราวตามมาตรา 13(4) แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 ย่อมไม่มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามมาตรา 14 แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับเดียวกันโจทก์ได้ทำคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ขอย้ายจากโรงเรียนงิ้วรายบุญมีรังสฤษดิ์ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ไปที่โรงเรียนวัดราชบพิธ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย โรงเรียนสารวิทยา และโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ กรุงเทพมหานคร ตามลำดับโดยโจทก์จะไม่ขอระงับหรือเปลี่ยนแปลงโรงเรียน และเมื่อจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ย้ายแล้ว โจทก์ไม่ขอเบิกค่าใช้จ่ายในการขนย้าย ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าพาหนะเดินทาง เมื่อจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ย้ายโดยให้ไปช่วยราชการเป็นการภายในและให้ดำรงตำแหน่งประจำที่โรงเรียนกำแพงแสนวิทยาแล้วโจทก์มิได้ขอระงับหรือยับยั้งหรือขอเปลี่ยนแปลงโรงเรียนแต่อย่างใดถือได้ว่า โจทก์พอใจที่ได้ย้าย ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วอันเป็นการสมความประสงค์ของโจทก์ที่ขอย้ายไว้ แม้โจทก์จะไม่ได้ย้ายไปโรงเรียนที่ระบุในคำร้องขอย้ายของโจทก์ก็ตาม ข้อสละสิทธิในคำร้องขอย้ายของโจทก์จึงผูกพันโจทก์มิให้ใช้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการขนย้าย ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าพาหนะ เดินทางจากจำเลยที่ 1ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินโจทก์จำนวน 800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 กันยายน 2527 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางและค่าพาหนะรวม 9,440 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1ว่าจำเลยที่ 1 ต้องใช้เงินค่าเบี้ย เลี้ยง เดินทางและค่าพาหนะรวม9,440 บาท ให้โจทก์หรือไม่เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 1937/2526 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2526 ตามเอกสารหมาย จ.1สั่งให้โจทก์ซึ่งรับราชการเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนงิ้วรายบุญมีรังสฤษดิ์อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ไปช่วยปฏิบัติราชการเป็นการภายในที่โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา จังหวัดนครปฐม นับเป็นการเดินทางไปช่วยราชการชั่วคราวตามมาตรา 13(4) แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 โจทก์ย่อมมีสิทธิเบิกเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะอันรวมถึงค่าเช่ายานพาหนะ ค่าเชื่อเพลิงหรือพลังงานสำหรับยานพาหนะ ค่าระวางบรรทุก ค่าจ้างคนหาบหาม และอื่น ๆทำนองเดียวกัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องจ่ายเนื่องในการเดินทางไปราชการตามมาตรา 14(1) (2) (3) และ (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 สำหรับกรณีเบี้ยเลี้ยงเดินทางนั้น ปรากฏว่ามาตรา 18 แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวซึ่งแก้ไขโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 มาตรา 3 บัญญัติให้เบิกได้เพียงระยะเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ออกเดินทาง ถ้าเกินต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด สำหรับส่วนราชการใดที่ไม่มีปลัดกระทรวงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงความจำเป็นและประหยัด เมื่อไม่ปรากฏว่าปลัดกระทรวงศึกษาธิการอันเป็นปลัดกระทรวงเจ้าสังกัดของกรมจำเลยที่ 1 อนุมัติให้โจทก์เบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางเกินระยะเวลาข้างต้น โจทก์จึงมีสิทธิเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางได้เพียงวันละ 50 บาท ตามบัญชี 1 อัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปราชการในราชอาณาจักร สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งระดับ 3ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นเวลา 120 วัน เป็นเงิน 6,000 บาทเท่านั้น สำหรับค่าพาหนะโจทก์เบิกได้ตลอดระยะเวลาที่ไปช่วยราชการนับแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2526 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2527เป็นเงิน 3,440 บาท ตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่โจทก์ระบุไว้ในคำร้องขอย้ายข้าราชการครูเอกสารหมาย ล.4 ที่ได้ยื่นไว้แก่จำเลยที่ 1สละสิทธิ์ไม่ขอเบิกค่าใช้จ่ายในการขนย้าย ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะเดินทางนั้น เห็นว่า โจทก์สละสิทธิ์ดังกล่าวเฉพาะกรณีที่จำเลยที่ 1มีคำสั่งให้ย้ายโจทก์ไปยังโรงเรียนที่โจทก์ประสงค์เท่านั้น คือโรงเรียนราชบพิธ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยโรงเรียนสารวิทยา และโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ กรุงเทพมหานครแต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ย้ายโจทก์ไปรับราชการประจำยังโรงเรียนกำแพงแสนวิทยา จังหวัดนครปฐม อันมิใช่สถานที่ที่โจทก์ขอไว้การแจ้งสละสิทธิของโจทก์ย่อมไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางจำนวน 6,000 บาท กับค่าพาหนะเดินทางจำนวน 3,440 บาท รวมเป็นเงิน 9,440 บาท
พิพากษายืน

Share