แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายจะระบุว่า ส. จะขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อไปจดทะเบียนโอน ส. กลับทำหนังสือสัญญาขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมีข้อสัญญาตกลงขายเฉพาะที่ดินไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างแสดงว่าไม่ได้ขายบ้านพิพาทด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทและไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบอยู่แล้วว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของตน แต่เป็นของโจทก์ร่วมน้องสาวของ ส. การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2 เข้าไปในบ้านพิพาทและทำการรื้อปรับปรุงบ้านพิพาท ทั้งๆ ที่โจทก์ร่วมได้ห้ามปรามแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขและทำให้บ้านพิพาทของโจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ แต่การที่จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปในบ้านพิพาท ก็มีเจตนาเพื่อปรับปรุงห้องครัวและห้องน้ำภายในบ้านพิพาทจึงมีเจตนาเดียว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362, 364, 365
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวอัมพร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362, 364 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุก จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 2 ปี และปรับ 6,000 บาท รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 8,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ประกอบกับทั้งพฤติการณ์และการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรง มีเจตนาปรับปรุงบ้านพิพาทให้ดีขึ้น โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมนายสุรินทร์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 73948 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 38 ตารางวา โจทก์ร่วมเป็นน้องสาวนายสุรินทร์และเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 54/7 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากนายสุรินทร์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 นายสุรินทร์ทำสัญญาจะขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ในราคา 700,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขาย ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2548 นายสุรินทร์จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 และนางสาวบัวลอย โดยระบุในสัญญาว่าเป็นการขายเฉพาะที่ดินไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างตามหนังสือสัญญาขายที่ดิน จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้เข้าไปซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านพิพาท โดยมีการรื้อส่วนประกอบของบ้านบางส่วนในส่วนห้องครัวและห้องน้ำ โจทก์ร่วมได้เข้าห้ามปราม หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการซ่อมแซมบ้านพิพาทต่อไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายจะระบุว่า นายสุรินทร์จะขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อไปจดทะเบียนโอนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน นายสุรินทร์ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมีข้อความระบุว่า ตกลงขายเฉพาะที่ดินไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง แสดงว่าไม่ได้ขายบ้านพิพาทด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทและไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบอยู่แล้วว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของตนแต่เป็นของโจทก์ร่วมน้องสาวของนายสุรินทร์ การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2 เข้าไปในบ้านพิพาทและทำการรื้อปรับปรุงบ้านพิพาท ทั้ง ๆ ที่โจทก์ร่วมได้ห้ามปรามแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขและทำให้บ้านพิพาทของโจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่การที่จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปในบ้านพิพาทก็มีเจตนาเพื่อปรับปรุงห้องครัวและห้องน้ำภายในบ้านพิพาทจึงมีเจตนาเดียว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หาเป็นความผิดหลายกรรมดังที่โจทก์ฟ้องไม่ อย่างไรก็ดี พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยที่ 1 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรกำหนดโทษจำคุกในสถานเบา และรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1