แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อปรากฏว่าสัญญากู้เงินที่จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานยังคงอยู่ที่โจทก์โดยมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นว่าได้ชำระหนี้แล้วทั้งรับว่าไม่มีเอกสารใดอีกที่มีลายมือชื่อโจทก์พอที่จะให้เป็นหลักฐานแสดงการรับเงินของโจทก์ก็ย่อมแสดงว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่
เช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเมื่อทวงถาม จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2496 จำเลยยืมเงินไป 6,851 บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยชั่งละบาทต่อเดือนกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 1 มิ.ย. 2497 จำเลยรับเงินไปครบถ้วนแล้วแต่วันทำสัญญาตั้งแต่วันกู้มาจำเลยไม่เคยใช้คืนเงินต้นหรือชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เลยยังค้างชำระอยู่ 2,380 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยผัดผ่อนจึงฟ้องให้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 9,231 บาท กับชำระดอกเบี้ยในเงินต้นร้อยละ 15 ต่อปีแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้เสร็จ
จำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินโจทก์จริงแต่ได้ชำระให้แล้วแต่วันที่ 19 พ.ค. 2497 เป็นเงิน 16,000 บาท โดยโจทก์จำเลยไปกู้เงินจากผู้มีชื่อ โจทก์ให้ผู้มีชื่อจ่ายเงินเป็นเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ในนามโจทก์เป็นผู้รับและโจทก์เป็นผู้ยึดถือเช็คไปรับเงินมาแล้ว จึงไม่มีหนี้สินใด ๆ กับโจทก์ จำเลยได้ทวงเอาสัญญากู้คืนจากโจทก์ โจทก์ว่ายังหาไม่พบ หาพบเมื่อใดจะคืนให้
ศาลจังหวัดสมุทรปราการสอบคู่ความ จำเลยแถลงว่าพระยาอรรถกฤตนิรุตติ์ เป็นผู้ออกเช็คในการกู้เงินโดยออกในนามโจทก์เป็นผู้รับเงิน ฝ่ายโจทก์รับว่าสัญญากู้หมาย ล.2 จำเลยกู้เงินพระยาอรรถกฤตฯ และโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน เช็คหมาย ล.3 เป็นเช็คที่พระยาอรรถกฤตฯ ออกให้ตามสัญญากู้หมาย ล.2 ในนามโจทก์แต่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ในเช็คนั้น ส่วนบันทึกไกล่เกลี่ยค่าเช่านาตามสำเนาหมาย ล.4 โจทก์ไม่รับรอง
จำเลยขอสืบว่าเช็คหมาย ล.3 เป็นการใช้หนี้โจทก์ ไม่ใช่ใช้หนี้ค่าเช่าตามเอกสารหมาย ล.4 ค่าเช่านานั้นจำเลยใช้เป็นข้าวเปลือกเสร็จสิ้นแล้วไม่มีติดค้างกัน และแถลงว่าไม่มีเอกสารอื่นใดที่จะส่งอีก และไม่มีเอกสารใดที่มีลายมือชื่อโจทก์รับเงินใช้หนี้เงินกู้รายนี้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยค้างรวม 9,231 บาทให้โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ยในต้นเงิน 6,851 บาท อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญากู้เงินที่จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานยังคงอยู่ที่โจทก์ โดยมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นว่าได้ชำระหนี้แล้ว ทั้งจำเลยรับว่าไม่มีเอกสารใดอีกที่มีลายมือชื่อโจทก์พอที่จะให้เป็นหลักฐานแสดงว่าการรับเงินของโจทก์ เช็คหมาย ล.3ก็ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ เช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเมื่อทวงถาม จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 จำเลยไม่อาจอ้างมาเป็นหลักฐานแสดงการรับเงินของโจทก์ได้ จึงพิพากษายืน