แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ทายาทของพนักงานซึ่งถึงแก่ความตายเพื่อตอบแทนคุณงามความดีที่พนักงานผู้นั้นปฏิบัติงานให้โจทก์เป็นเวลานานทั้งเพื่อเป็นการอุปการะเลี้ยงดูทายาทของพนักงานผู้นั้นด้วยมีลักษณะเป็นเงินบำเหน็จถือได้ว่าเป็นรายจ่ายที่จำเป็นและมีเหตุอันควร ทั้งการจ่ายเงินรายนี้ก็เป็นการจ่ายตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้ตามมติที่ประชุมกรรมการโจทก์ จึงไม่เป็นการให้โดยเสน่หาตามความหมายของมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร แม้โจทก์จะลงบัญชีที่เรียกว่าสตาฟรีไทร์เมนท์เบเนฟิต รายจ่ายส่วนนี้ก็ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี รายจ่ายค่าซ่อมแซมอาคาร แม้โจทก์จะทราบความเสียหายของอาคารในปี พ.ศ. 2519 และตกลงให้ พ. รับซ่อมแซม แต่โจทก์เพิ่งทำสัญญาจ้าง พ. ทำการซ่อมแซมอาคารให้โจทก์ในปี พ.ศ. 2520โดยให้แล้วเสร็จในปีเดียวกัน สิทธิเรียกร้องของ พ. จึงเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520 หน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องจ่ายเงินให้ พ. เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520 เช่นเดียวกัน โจทก์ซึ่งใช้เกณฑ์สิทธิจะต้องลงรายจ่ายดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2520 การที่โจทก์นำรายจ่ายค่าซ่อมแซมอาคารไปลงบัญชีเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาปี พ.ศ. 2519 จึงไม่ชอบและต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี (9)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ให้โจทก์ชำระภาษีและเงินเพิ่ม 536,400 บาท ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยเฉพาะเงินจำนวน 486,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2519 โจทก์ลงบัญชีของโจทก์ว่าได้จ่ายเงินให้แก่ทายาทของนายวัง เวงมีกรรมการผู้จัดการของโจทก์ซึ่งถึงแก่กรรมจำนวน 486,000 บาท และจ่ายเงินค่าซ่อมแซมอาคารจำนวน 1,004,000 บาท แต่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่า ค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี และนำเงินทั้งสองรายการมาปรับปรุงเป็นรายรับเพื่อคำนวณกำไรสุทธิให้โจทก์เสียภาษี ปัญหามีว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่
สำหรับเงินจำนวน 486,000 บาท ที่โจทก์จ่ายให้ทายาทของนายวัง เวงมี นั้น นางอรุณี โคมทอง พยานโจทก์เบิกความว่าการจ่ายเงินให้ทายาทของนายวัง เวงมี เนื่องจากการตายของนายวัง เวงมี นั้นเป็นไปตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการของโจทก์จำนวนเงินที่จ่ายนั้นคิดเป็นเงินร้อยละ 60 ของเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานปรากฏว่า นายวัง เวงมีมีเงินเดือนเดือนสุดท้ายในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโจทก์เดือนละ 30,000 บาท ทำงานให้โจทก์มา 27 ปี เมื่อคิดออกมาแล้วเป็นจำนวนเงิน 486,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้จ่ายเงินทำนองเดียวกันนี้ให้พนักงานรายอื่น ๆ ด้วย โจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด นอกจากนี้ปรากฏตามรายงานการประชุมคณะกรรมการของโจทก์ครั้งที่ 34 ลงวันที่ 27 กันยายน 2518 หมาย จ.10ข้อ 2 ว่าคณะกรรมการตกลงจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายสำหรับหัวหน้าฝ่ายซึ่งทำงานเกิน 12 ปี และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการโจทก์ครั้งที่ 35 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2518 หมาย จ.11ข้อ 5 ระบุว่าพนักงานที่ทำงานกับโจทก์เกิน 10 ปี จะได้รับเงินค่าตอบแทนเมื่อออกจากงาน สำหรับรายงานการประชุมของคณะกรรมการโจทก์ครั้งที่ 32/1 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2519หมาย จ.12 ข้อ 5 นั้น ระบุว่าโจทก์ตัดสินใจจ่ายเงินตอบแทนเนื่องจากออกจากงานจำนวน 486,000 บาท ให้แก่ทายาทของนายวัง เวงมี จึงเห็นได้ว่าเงินจำนวน 486,000 บาท ที่โจทก์จ่ายให้แก่ทายาทของนายวัง เวงมี นั้น เป็นการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนคุณงามความดีของนายวัง เวงมี ที่ปฏิบัติงานให้โจทก์เป็นเวลานานทั้งเพื่อเป็นการอุปการะเลี้ยงดูทายาทของนายวัง เวงมี ด้วยจึงมีลักษณะเป็นเงินบำเหน็จ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรายจ่ายที่จำเป็นและมีเหตุอันควร การจ่ายเงินในลักษณะเช่นนี้ หน่วยราชการต่าง ๆตลอดจนรัฐวิสาหกิจและนิติบุคคลจำนวนมากก็ถือเป็นหลักปฏิบัติทั้งนี้เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่ข้าราชการและพนักงานโดยทั่วไปในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งการจ่ายเงินรายนี้ก็เป็นการจ่ายตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้และตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการโจทก์หาเป็นการให้โดยเสน่หา ตามความหมายของมาตรา 65 ตรี (3)แห่งประมวลรัษฎากรตามที่จำเลยกล่าวอ้างและนำสืบไม่ แม้การจ่ายเงินดังกล่าว โจทก์จะลงบัญชีที่โจทก์เรียกว่า สตาฟ รีไทร์เมนท์เบเนฟิต ก็หาทำให้รายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ รายจ่ายของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี ดังนั้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ
ในเรื่องเงินค่าซ่อมแซมอาคารที่โจทก์จ่ายไป 1,004,000 บาทและโจทก์ลงบัญชีเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชี ปี พ.ศ. 2519นั้น นางอรุณี โคมทอง พยานโจทก์เบิกความว่า เหตุที่โจทก์ลงบัญชี ปี พ.ศ. 2519 ก็เพราะโจทก์สังเกตว่าอาคารเริ่มทรุดเมื่อปี พ.ศ. 2519 เป็นกรณีที่โจทก์ทราบความเสียหายในปีดังกล่าวและในปี พ.ศ. 2519 นั้นเอง โจทก์ตกลงให้บริษัท พี แอนด์ พีไทยแลนด์ จำกัด เป็นผู้รับซ่อมแซมอาคาร แต่ปรากฏตามสัญญาหรือข้อตกลงหมาย ล.1 ว่า สัญญาซ่อมแซมอาคารที่โจทก์จ้างบริษัทดังกล่าวซ่อมแซมอาคารให้โจทก์นั้น ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2520สัญญาดังกล่าวระบุวันเริ่มงานวันที่ 26 พฤษภาคม 2520 และวันสิ้นสุดสัญญาคือวันที่ 10 กันยายน 2520 ตามสัญญาดังกล่าวเห็นได้ว่าสิทธิเรียกร้องของบริษัท พี แอนด์ พี ไทยแลนด์ จำกัดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520 หน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องจ่ายเงินให้บริษัทดังกล่าวก็เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520 เช่นเดียวกัน โจทก์ซึ่งใช้เกณฑ์สิทธิจะต้องลงรายจ่ายดังกล่าวในรอบระยะบัญชีปีพ.ศ. 2520 การที่โจทก์นำรายจ่ายค่าซ่อมแซมอาคารไปลงบัญชีเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2519 จึงไม่ชอบและต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี (9)ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินนำเงินดังกล่าวมาปรับปรุงเป็นรายรับของโจทก์เพื่อคำนวณหากำไรสุทธิให้โจทก์เสียภาษีนั้นชอบแล้ว การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงชอบแล้ว คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษายืน