คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายชัดเจนว่า ต. ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของตลอดมาจนกระทั่ง ต. ถึงแก่กรรมโดยมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ไม่มี ข้อความตอนใดในคำฟ้องที่แสดงว่า ต. ประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยทางนิติกรรม เมื่อที่ดินพิพาทมีเอกสารสิทธิเป็นเพียงหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไม่ใช่โฉนดที่ดิน ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น การโอนสิทธิครอบครองในกรณีนี้สามารถกระทำได้ ทั้งการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ และการส่งมอบ การครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378 สุดแล้วแต่ว่าผู้ให้มีเจตนาให้โดยทางใดการวินิจฉัยคดีโดยข้อเท็จจริงยังไม่ได้ความชัดว่าผู้ให้มีเจตนาให้โดยทางใดจึงเป็นการไม่ชอบ แต่คดีนี้โจทก์จำเลยสืบพยานจนเสร็จสิ้นแล้ว และคดีก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยประเด็นพิพาทไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก่อนว่า ต. ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่และด้วยเจตนาใด การที่ต. รับโจทก์มาเลี้ยงเช่นบุตร แล้วมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาท ให้แก่โจทก์ และให้โจทก์เข้าทำนาในที่ดินพิพาทเลี้ยงดู นางแตงมาเป็นเวลาถึง7ปีแสดงว่าต. มีเจตนายกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยการส่งมอบการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378การให้จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว เมื่อต.ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของต. ที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของต. จะมีสิทธิจัดการได้ ที่ดินพิพาทยังเป็นสิทธิของโจทก์ตลอดมา การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิ ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2520 โจทก์ได้รับการยกให้ที่ดิน1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1143 เนื้อที่ 17 ไร่ จากนางแตง ฉิมสายหรือสิงห์สายและเข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมานางแตงถึงแก่ความตายวันที่ 22 สิงหาคม 2527 โดยยังไม่ได้จดทะเบียนยกที่ดินให้โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกของนางแตง ต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2534และวันที่ 5 สิงหาคม 2534 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะส่วนตัวตามลำดับ ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2535จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 โดยจำเลยทั้งสี่ทราบอยู่แล้วว่านางแตงยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์และโจทก์เป็นผู้ครอบครองมาโดยตลอดขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1143ให้จำเลยทั้งสี่ไปเพิกถอนการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินพิพาทหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ห้ามจำเลยทั้งสี่พร้อมทั้งบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นางแตงไม่เคยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โจทก์เข้าทำนาร่วมกับทายาทอื่นของนางแตงโจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1และขายไปโดยสุจริต
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย การที่นางแตงยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์แสดงว่านางแตงประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยทางนิติกรรม เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การให้จึงไม่สมบูรณ์ ที่ดินพิพาทยังเป็นของนางแตง การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นการครอบครองแทนนางแตงและทายาทของนางแตงเมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแตงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นางแตงเป็นพี่สาวจำเลยที่ 1 และเป็นน้าโจทก์ นางแตงไม่มีสามีและบุตรจึงรับโจทก์มาเลี้ยงเช่นบุตรตั้งแต่เด็ก ๆ จำเลยที่ 1ย้ายไปอยู่ที่บ้านยาง หมู่ที่ 17 และบ้านข่า หมู่ที่ 7 ตามลำดับมาประมาณ 30 ปีแล้ว ส่วนที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตหมู่ที่ 8
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสี่มีว่า ตามคำฟ้องโจทก์แสดงชัดว่านางแตงประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยทางนิติกรรมหรือไม่เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายชัดเจนว่านางแตงยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของตลอดมาจนกระทั่งนางแตงถึงแก่กรรมโดยมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จึงไม่มีข้อความตอนใดในคำฟ้องที่แสดงว่านางแตงประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยทางนิติกรรมเมื่อที่ดินพิพาทมีเอกสารสิทธิเป็นเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไม่ใช่โฉนดที่ดิน ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น การโอนสิทธิครอบครองในกรณีนี้สามารถกระทำได้ทั้งการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ และการส่งมอบการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 สุดแล้วแต่ว่าผู้ให้มีเจตนาให้โดยทางใด การวินิจฉัยคดีโดยข้อเท็จจริงยังไม่ได้ความชัดว่าผู้ให้มีเจตนาให้โดยทางใดจึงเป็นการไม่ชอบ
แต่เนื่องจากคดีนี้โจทก์จำเลยสืบพยานจนเสร็จสิ้นแล้วและคดีก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยประเด็นพิพาทไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก่อนว่า นางแตงยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่และด้วยเจตนาใด ประเด็นนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักเช่นพยานหลักฐานโจทก์ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามข้อนำสืบของโจทก์ และเห็นว่าการที่นางแตงรับโจทก์มาเลี้ยงเช่นบุตรแล้วมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และให้โจทก์เข้าทำนาในที่ดินพิพาทเลี้ยงดูนางแตงมาเป็นเวลาถึง 7 ปีเช่นนี้ แสดงว่านางแตงมีเจตนายกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยการส่งมอบการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 การให้จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วเมื่อนางแตงยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางแตงที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแตงจะมีสิทธิจัดการได้แต่ที่ดินพิพาทยังเป็นสิทธิของโจทก์ตลอดมา จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิแต่อย่างใดในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทด้วย
พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.3ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว

Share