แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะได้แสดงสวนหย่อมไว้ในใบโฆษณาและอาคารจำลอง แต่ก่อนเปิดขายอาคารทุกหลังในโครงการนี้ได้ตอกเสาเข็ม ไว้แล้วโดยแต่ละต้นเหลือส่วนบนโผล่ พ้นดินประมาณ 2 เมตร ซึ่งในระหว่างที่โจทก์ผ่อนชำระเงินดาวน์และไปตรวจดูการ ก่อสร้างห้องชุดที่จะซื้อ โจทก์ได้เห็นการก่อสร้างอาคารซี ตรงจุดที่จำเลยแสดงไว้ในโฆษณาว่าจะทำเป็นสวนหย่อม แต่โจทก์ ก็ไม่เคยโต้แย้งการก่อสร้างอาคาร ซี แต่อย่างใด เท่ากับโจทก์รู้เห็นการก่อสร้างอาคาร ซีมาโดยตลอด การที่โจทก์ก็ยังคงเข้าทำสัญญาและติดต่อปฏิบัติตามสัญญาตลอดมา แสดงว่า โจทก์หาได้ถือว่าการจะมีหรือไม่มีสวนหย่อมหน้าอาคารชุดหลัง ที่โจทก์จะซื้อห้องชุดเป็นข้อสาระสำคัญไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยผิดสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันทำสัญญาจะขายห้องชุดหมายเลขดี 622 ชั้น 6 อาคาร ดี ในอาคารชุดชลนทีคอนโดทาวน์ ของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์โดยจำเลยทั้งสองได้แสดงตัวอย่างอาคาร ดี ย่อส่วนมีสวนหย่อมไว้ ทั้งได้พรรณนาในใบโฆษณาว่าจะจัดทำสวนหย่อมโดยแสดงรูปภาพของอาคาร ดีและสวนหย่อมไว้ชัดแจ้ง โจทก์ผ่อนชำระเงินดาวน์จนครบตามสัญญาแต่จำเลยที่ 1 ไม่จัดทำสวนหย่อม กลับก่อสร้างอาคารขึ้นบนพื้นที่ที่จะทำสวนหย่อมหน้าอาคารดี จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 227,221 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 202,385 บาท และค่าเช่าบ้านเดือนละ 2,600 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า รูปสวนหย่อมในใบโฆษณาขายอาคารชุดชลนทีคอนโดทาวน์ ของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงทัศนีย ภาพสมมุติและใบโฆษณาดังกล่าวมิใช่ส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์ไม่เคยโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยไม่ทำสวนหย่อมจำเลยที่ 1 นัดโจทก์ให้รับโอนห้องชุดดังกล่าว แต่โจทก์เพิกเฉยและบอกเลิกสัญญาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกันตามฟ้อง มีปัญหาวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า ฝ่ายจำเลยผิดสัญญาเพราะเหตุไม่สร้างสวนหย่อมหรือไม่ในปัญหาข้อนี้โจทก์นำสืบว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อห้องชุดตามฟ้องเพราะเชื่อตามใบโฆษณาและอาคารจำลองของจำเลยที่ 1 ที่ได้จัดพื้นที่เป็นสวนหย่อมไว้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ 1 จะสร้างสิ่งสาธารณูปโภคให้ครบถ้วน ตามที่โฆษณา ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ได้สร้างสวนหย่อม แต่ได้สร้างอาคารชุดอีกหลังหนึ่งขึ้นแทน คืออาคาร ซี จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ใบโฆษณาขายอาคารชุดของจำเลยที่ 1 ที่แสดงสวนหย่อมไว้เป็นเพียงทัศนีย ภาพสมมุติ ขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยที่ 1 ลงมือก่อสร้างอาคารชุดหลังอื่น ๆ รวมทั้งอาคาร ซี โดยได้ตอกเสาเข็มไว้ประมาณหลังละ 200 ต้น แต่ละต้นเหลือส่วนบนโผล่ พ้นพื้นดินประมาณ 2 เมตร ระหว่างที่โจทก์ไปผ่อนชำระเงินดาวน์และไปตรวจดูการก่อสร้างห้องชุดที่จะซื้อ โจทก์ก็เห็นการก่อสร้างอาคาร ซี แต่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งแต่ประการใดหลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขาย 2 ปีเศษ โจทก์ยังได้รับมอบห้องชุดจากจำเลยที่ 1 โดยรับรองว่า การก่อสร้างถูกต้องตามมาตรฐานแบบแปลน สัญญา และใบสั่งงาน เพิ่ม/ลดทุกประการ คงรอเพียงขั้นตอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะได้แสดงสวนหย่อมไว้ในใบโฆษณาและอาคารจำลอง แต่จำเลยก็มีเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1คือนายเดชา เตียวตระกูล ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง มาเบิกความเป็นพยานว่าอาคารทุกหลังในโครงการนี้ได้ตอกเสาเข็มไว้แล้วก่อนเปิดขาย มีเสาเข็มหลังละประมาณ 200 ตัน แต่ละต้นเหลือส่วนบนโผล่ พ้นดินประมาณ 2 เมตร โจทก์ไม่เคยโต้แย้งการก่อสร้างอาคาร ซี พยานจำเลยดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าเบิกความตามความจริง ฟังได้ว่าโจทก์รู้เห็นว่าจะมีการก่อสร้างอาคารตรงที่ระบุว่าเป็นสวนหย่อม นอกจากนี้ยังปรากฏตามใบรับมอบบ้านลงวันที่ 14 มกราคม 2538 เอกสารหมาย ล.3 ว่าโจทก์รับมอบห้องชุดจากจำเลยที่ 1 หลังทำสัญญาจะซื้อจะขาย 2 ปีเศษ โดยมีข้อความรับรองว่าการก่อสร้างได้มาตรฐาน เอกสารฉบับนี้นายเดชาพยานโจทก์เป็นผู้ทำแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งนายเดชาเบิกความยืนยันว่า ขณะทำเอกสารฉบับนี้อาคาร ซี ก่อสร้างไปได้ 3 ชั้นแล้วดังนี้ ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์รู้เห็นการก่อสร้างอาคาร ซีมาโดยตลอด แต่โจทก์ก็ยังคงเข้าทำสัญญาและติดต่อปฏิบัติตามสัญญาตลอดมา แสดงว่าโจทก์หาได้ถือว่าการจะมีสวนหย่อมหน้าอาคารชุดหลังที่โจทก์จะซื้อห้องชุดหรือไม่มีเป็นสาระสำคัญไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน