แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดครบองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่าแล้ว แม้ผู้เสียหายไม่ตายสมดังเจตนาก็เป็นกรณีที่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล การที่จำเลยทิ้งมีดโต้แล้วไปสวมกอดผู้เสียหายเพราะความรักผู้เสียหายและรักลูกโดยเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของจำเลยเอง จึงหาใช่เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เสียหายต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 288, 297 และริบเฉพาะมีดปลายแหลมของกลาง
จำเลยให้การรับว่า ใช้มีดปลายแหลมและมีดโต้แทงและฟันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่ปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 พิเคราะห์ถึงข้อที่ว่าผู้เสียหายแถลงไม่ติดใจเอาความกับจำเลยแล้วให้จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพว่า ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 ปีริบมีดปลายแหลมของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) จำคุก 4 ปี คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนตลอดจนชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เนื่องจากปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 2 เมษายน 2540 ว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความและกลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้ว ประกอบกับจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนเพื่อให้สภาพครอบครัวไม่แตกร้าวกับเพื่อให้บุตรของผู้เสียหายและจำเลยไม่ขาดความอบอุ่นในชีวิตครอบครัว โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี แต่ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 48 ชั่วโมง กับห้ามมิให้จำเลยเสพสุราและสิ่งมึนเมาตลอดระยะเวลาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอดเสียเอง อันจะเป็นข้อยกเว้นให้จำเลยไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82 หรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยว่าจำเลยและผู้เสียหายเป็นสามีภริยากัน มีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยใช้มีดปลายแหลมและมีดโต้แทงและฟันผู้เสียหายเพราะมีอารมณ์โกรธแค้นที่ผู้เสียหายไม่ยอมคืนดีด้วยประกอบกับจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายคบชู้จะไปอยู่กินกับชายอื่นการที่จำเลยใช้มีดแทงหลายครั้งแต่ไม่ถูกเพราะผู้เสียหายเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ทั้งการที่จำเลยใช้มีดปาดคอผู้เสียหาย จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลที่คอขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตร มีบาดแผลฉีกขาดถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกศีรษะแตก จำเลยเลือกแทงร่างกาย ปาดบริเวณลำคอและฟันที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ การกระทำของจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายล้มลงจำเลยได้ใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาที จำเลยทิ้งมีดโต้แล้วร้องไห้เข้าไปสวมกอดผู้เสียหาย โดยพูดว่ารักผู้เสียหายและลูกมาก หากไม่รักผู้เสียหายและลูกแล้วก็คงฆ่าผู้เสียหายไปแล้ว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า องค์ประกอบความผิดฐานพยายามกระทำความผิดนั้น เป็นกรณีที่มีการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล การกระทำนั้นเป็นความผิดฐานพยายามกระทำความผิดตามที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดครบองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่าแล้ว แม้ผู้เสียหายไม่ตายสมดังเจตนาก็เป็นกรณีที่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสำหรับในข้อหาพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80 แล้ว การที่จำเลยทิ้งมีดโต้แล้วไปสวมกอดผู้เสียหายเพราะความรักผู้เสียหายและรักลูกโดยเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของจำเลยเองก็ตาม หาใช่เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เสียหายต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 แต่อย่างใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น