แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ใดเป็นบุคคลล้มละลายนั้นมิใช่อาศัยแต่ลำพังข้อเท็จจริงอันเป็นเงื่อนไขตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพิเคราะห์ถึงเหตุผลอื่นมาประกอบที่พอแสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยตกอยู่ในฐานะผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงดังนี้ แม้โจทก์จะนำสืบได้ว่า จำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์แล้วรวม 2 ครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน และจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินที่สามารถจะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยังมีหนี้สินกับโจทก์อีก 2,895,577.87บาท ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ 8088/2535 และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายต่อศาลชั้นต้นเป็นอีกคดีหนึ่งในคดีหมายเลขดำที่ ล.1038/2533 ซึ่งรวมหนี้สินของจำเลยทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 7,000,000 บาทเศษ โดยจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ โจทก์มิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทธนาวิทย์เคมีคอลจำกัด ลูกค้าซึ่งเปิดบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ สาขาลุมพินีโดยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้เป็นเงิน 3,000,000 บาท จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าวโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2528 บริษัทธนาวิทย์เคมีคอล จำกัด ยังคงเป็นหนี้โจทก์ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 3,151,325.21 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2531 จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์1,966,743.70 บาท โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดและต้นเงินบางส่วนจำนวน 499,305.38 บาทคงค้างชำระต้นเงิน 2,652,019.83 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 25มิถุนายน 2531 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 900,233.58 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,552,253.41 บาท โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยมีกำหนดจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยแล้ว 2 ครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยไม่ชำระหนี้จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า สัญญาค้ำประกันตามฟ้องระงับไปแล้วไม่มีหนี้สินที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ จำเลยไม่ใช่บุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวบริษัทธนาวิทย์เคมีคอล จำกัด ถูกฟ้องล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ ล.427/2529 โจทก์ปกปิดความจริงไม่บรรยายฟ้องว่า โจทก์ขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวหรือไม่ ได้รับชำระหนี้เท่าใด หนี้ตามฟ้องมีกำหนดจำนวนยังไม่แน่นอน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ แม้โจทก์จะนำสืบได้ตามคำฟ้องว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์แล้วรวม 2 ครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน และจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ อันเป็นพฤติการณ์ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้แล้วก็ตาม เห็นว่าการที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ใดเป็นบุคคลล้มละลายนั้น มิใช่อาศัยแต่ลำพังข้อเท็จจริงอันเป็นเงื่อนไขตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพิเคราะห์ถึงเหตุผลอื่นมาประกอบที่พอแสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยตกอยู่ในฐานะผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงเพราะการวินิจฉัยให้บุคคลใดล้มละลายนั้นย่อมกระทบถึงสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตตามกฎหมายตลอดจนสถานะของบุคคล และสิทธิในทางทรัพย์สินของผู้นั้นโดยตรง อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน กฎหมายจึงให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจได้อย่างกว้างขวางจำเลยเบิกความว่า จำเลยมีเงินใช้จ่ายในกิจการค้าของจำเลยโดยบริษัทไซแอมสแลนด์ จำกัด ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยรับไปแล้วเป็นเงิน 3,000,000 บาท ซึ่งจำเลยก็ได้นำสำเนาตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย ล.10 มาอ้างอิงเป็นหลักฐาน และจำเลยยังมีวงเงินสินเชื่อจะเบิกเกินบัญชีได้อีก 4,000,000 บาท ตามหนังสือรับรองของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เอกสารหมาย ล.12 พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมามีน้ำหนักในการรับฟังว่า จำเลยยังมีทรัพย์สินที่สามารถจะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ส่วนการที่จำเลยมิได้ยื่นบัญชีงบดุลของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงงานยาตราพระ ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเพื่อแสดงฐานะทางการเงินตามที่โจทก์ฎีกากล่าวอ้างมาก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว สำหรับข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยังมีหนี้สินกับโจทก์อีก 2,895,577.87 บาท ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ในคดีหมายเลขดำที่ 8088/2535และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายต่อศาลชั้นต้นเป็นอีกคดีหนึ่งในคดีหมายเลขดำที่ ล.1038/2533 ซึ่งรวมหนี้สินของจำเลยทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 7,000,000 บาทเศษ โดยจำเลยยังไม่ได้ชำระนั้นโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน