คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5072/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กรณีที่ผู้กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมความประพฤติที่ศาลกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าวิธีคุมประพฤติไม่เหมาะสมและใช้ไม่ได้ผลแก่จำเลย ก็สามารถยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนโทษจากการรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษได้ และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน และปรับ10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้ โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 2 เดือนต่อครั้งเป็นเวลา 1 ปี ระหว่างคุมความประพฤติห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษวัตถุออกฤทธิ์และสารระเหยให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ต่อมาพนักงานคุมประพฤติทำรายงานการคุมความประพฤติจำเลยเสนอศาลชั้นต้นว่า ในระหว่างคุมความประพฤติจำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนอีก ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1874/2541 ของศาลชั้นต้นขอให้เรียกจำเลยมาสอบถามดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 57 ต่อไป
ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยสอบถามแล้ว จำเลยแถลงยอมรับว่าถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยด้วยตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1874/2541 ของศาลชั้นต้นจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ได้ให้โอกาสแก่จำเลยแล้วด้วยการลงโทษจำคุกและให้คุมความประพฤติ โดยระหว่างคุมความประพฤติห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษแต่ปรากฏว่าในระหว่างคุมความประพฤตินั้น จำเลยกลับไปเสพเมทแอมเฟตามีนอีกอันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ แสดงว่าจำเลยไม่พยายามประพฤติตนเป็นคนดี วิธีการคุมประพฤติจำเลยจึงไม่ได้ผล มีคำสั่งให้จำคุกจำเลยตามที่ได้รอการลงโทษไว้ 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอให้รอการลงโทษ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมความประพฤติที่ศาลกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าวิธีคุมประพฤติไม่เหมาะสมและใช้ไม่ได้ผลแก่จำเลย จึงให้ยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนโทษจากการรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share