คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มูลละเมิดคดีนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับ ความเสียหายอันเนื่องมาจากโจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ แก่บุคคลอื่น โดยเป็นเช็คขีดคร่อมและมีคำสั่งห้ามเปลี่ยนมือ แต่เช็คดังกล่าวถูกนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 ในบัญชีจำเลยร่วมซึ่งมิใช่ผู้รับเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่าย เป็นการผิดขั้นตอนไม่เป็นไปตามระเบียบ และจำเลยร่วม เบิกจ่ายเงินดังกล่าวจากบัญชีจำเลยร่วมแล้ว ส่วนคดีที่ โจทก์กับจำเลยร่วมและ น. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้นสืบเนื่องมาจากจำเลยร่วมและ น. ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลายฉบับรวมทั้งเช็คที่เป็นมูลละเมิดในคดีนี้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โจทก์จึงดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยร่วมและ น. ฐานฉ้อโกง แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน อันเป็นเรื่อง ระงับข้อพิพาทในทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิด อันยอมความได้และเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยร่วมและ น. หาได้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งมีมูลหนี้มาจาก การละเมิดเป็นคนละเรื่องกัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้น ความรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกัน ชำระเงิน 86,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์รู้การละเมิดตั้งแต่วันที่ธนาคารตามเช็คจ่ายเงินนับถึงวันฟ้องเกินกำหนด1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางพรพิกุลหรือลภณพร พิชยพาณิชย์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า โจทก์กับนายนรินทร์ พิชยพาณิชย์และจำเลยร่วมได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้ว เมื่อหนี้ประธานได้ระงับไปทั้งหมดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องอีกค่าเสียหายหากมีก็ไม่เกิน 5,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินจำนวน 64,716 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า เมื่อจำเลยร่วมและนายนรินทร์ พิชยพาณิชย์ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว จะทำให้มูลหนี้ละเมิดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1และที่ 2 ระงับไปหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มูลละเมิดคดีนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเนื่องมาจากโจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่บุคคลอื่น โดยเป็นเช็คขีดคร่อมและมีคำสั่งห้ามเปลี่ยนมือ แต่เช็คดังกล่าวถูกนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 ในบัญชีจำเลยร่วมซึ่งมิใช่ผู้รับเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่าย เป็นการผิดขั้นตอนไม่เป็นไปตามระเบียบและจำเลยร่วมเบิกจ่ายเงินดังกล่าวจากบัญชีจำเลยร่วมแล้วส่วนคดีที่โจทก์กับจำเลยร่วมและนายนรินทร์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น สืบเนื่องมาจากจำเลยร่วมและนายนรินทร์ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลายฉบับรวมทั้งเช็คที่เป็นมูลละเมิดในคดีนี้ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์จึงดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยร่วมและนายนรินทร์ฐานฉ้อโกง แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันดังกล่าว เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและนายนรินทร์เป็นเรื่องระงับข้อพิพาทในทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกง อันเป็นความผิดอันยอมความได้ทำให้จำเลยร่วมและนายนรินทร์ไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญาต่อไปอันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยร่วมและนายนรินทร์หาได้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งมีมูลหนี้มาจากการละเมิดจึงเป็นคนละเรื่องกันโดยแท้ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2หาได้ระงับไปไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้นความผิดต่อโจทก์ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share