คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารความว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้รับเงินที่ยืมแล้ว
จำเลยรับว่า ทำเอกสารยืมเงินให้โจทก์ แต่ต่อสู้ว่าไม่ได้รับเงินโดยโจทก์หลอกลวงให้ทำ เนื่องจากโจทก์ฝากเครื่องอะไหล่รถยนต์ให้จำเลยขาย ไม่เรียกว่าจำเลยอ้างเหตุที่ทำให้หนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยนำสืบพยานไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2496 จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป 22,000 บาท โดยทำหนังสือกู้ให้ไว้ดังสำเนาท้ายฟ้องได้ตกลงกันด้วยวาจาว่าจำเลยจะนำเงินมาชำระคืนใน 1 เดือน นับแต่วันทำสัญญากู้ ครั้นครบกำหนดแล้วโจทก์ไปทวงถาม จำเลยกลับปฏิเสธและขอผัดผ่อนเรื่อยมา จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระต้นเงิน 22,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ และไม่เคยได้รับเงินตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องจากโจทก์เลยต่อสู้ว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2496 โจทก์ได้นำเครื่องอะไหล่รถยนต์มาฝากจำเลยขาย ราคาประมาณ 20,000 บาท โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อจำเลยขายได้เงินเท่าใด โจทก์จะมารับเงินจำนวนนั้นไปจากจำเลย ในการรับฝากนี้โจทก์ได้ล่อลวงให้จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารท้ายฟ้องซึ่งไม่ได้ประทับตราและปิดอากรแสตมป์ สัญญาที่โจทก์ฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2496 โจทก์ได้รับเงินค่าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ซึ่งจำเลยขายได้ไปเป็นเงิน 8,304 บาทและวันที่ 4 เมษายน 2496 รับเงินไปจากจำเลยอีก 2,000 บาท รวม 2 คราวเป็นเงิน 10,304 บาท มีใบรับเงิน แต่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เครื่องอะไหล่รถยนต์ยังคงเหลืออยู่ที่จำเลยอีก คิดเป็นราคาประมาณ 9,000 บาท ยังขายไม่ได้โจทก์เร่งรัดจะเอาเงินสด จำเลยไม่ยอมโจทก์จึงฟ้องคดีนี้

จำเลยจึงฟ้องแย้งขอเรียกเงินค่าปรับ ซึ่งจำเลยเสียให้แก่กรมสรรพากรเป็นค่าปิดอากรแสตมป์ใบรับเงิน 2 ฉบับ ซึ่งโจทก์ออกใบรับเงินไม่ปิดอากรแสตมป์ เป็นเงิน 154 บาท 80 สตางค์ จากโจทก์แต่ศาลไม่รับคำฟ้องแย้งของจำเลย

ในวันนัดพิจารณา จำเลยแถลงรับว่า ได้ทำสัญญาหมาย จ.1 ที่โจทก์ส่งศาลให้โจทก์จริง และจำเลยแถลงต่อไปว่า หากศาลสั่งให้จำเลยนำสืบ จำเลยจะนำสืบว่า โจทก์นำเครื่องอะไหล่รถยนต์มาฝากจำเลยขายรวมเป็นราคา 20,000 บาท เวลานี้จำเลยขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ได้เงินและจ่ายให้โจทก์ไปแล้ว คงเหลืออีกราว 9,000 บาทหากโจทก์รับคืนไป ก็หมดหนี้สินกัน ศาลสอบข้อที่จำเลยว่าถูกโจทก์หลอกลวงอีก จำเลยว่า ที่ถูกโจทก์หลอกลวงนั้น คือโจทก์หลอกให้ทำสัญญากู้หมาย จ.1 แทนทำใบรับเครื่องอะไหล่รถยนต์

ศาลแพ่งสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญากู้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร มีลายมือจำเลยลงไว้ว่า ได้ยืมเงินโจทก์ไปจริงจำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ล่อลวงให้จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารนั้นจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำสืบว่า ถูกโจทก์ล่อลวงอย่างไรแต่คำให้การของจำเลยมิได้บรรยายข้อเท็จจริงว่า โจทก์ล่อลวงอย่างไรจึงไม่มีประเด็นนำสืบ ส่วนคำแถลงที่ว่าโจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาหมาย จ.1 แทนใบรับเครื่องอะไหล่ ไม่ใช่คำให้การ จำเลยนำสืบไม่ได้โดยมิได้ให้การไว้ คดีต้องฟังตามเอกสารหมาย จ.1 ว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงดังฟ้อง จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 22,000บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ 450 บาท แทนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วคงพิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า เอกสารสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องหมาย จ.1 มีข้อความปรากฏชัดว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไปจึงได้ทำหนังสือนั้นให้ไว้ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยได้รับเงินที่ยืมนั้นไปแล้ว ซึ่งจำเลยรับแล้วว่าได้ทำให้โจทก์ไว้จริงที่ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้รับเงินไป โจทก์หลอกลวงให้ทำเนื่องจากโจทก์ฝากเครื่องอะไหล่รถยนต์ให้จำเลยขาย นั้น จำเลยหาได้ยกเหตุผลขึ้นอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นว่า สัญญากู้ยืมหรือหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาไม่สมบูรณ์แต่อย่างไรไม่ ดังนี้ จำเลยจะนำสืบพยานไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94ดังตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1111/2496 คดีระหว่าง นายเลื่อนขุนคำ โจทก์ นายพันธ์ จันทรลา จำเลย และที่ 1269/2499 คดีระหว่างบริษัทสหข้าวสาร จำกัด โจทก์ บริษัทสินอาริยะ จำกัด จำเลย ธนาคารแหลมทอง จำกัด ผู้ค้ำประกัน ฎีกาตัวอย่างที่ 649/2491 และที่ 325/2494 ซึ่งจำเลยอ้างมาในฎีกาว่าจำเลยย่อมนำพยานสืบได้นั้นคดีสองเรื่องนั้น จำเลยในเรื่องนั้น ๆ ได้ยกข้อเท็จจริง และเหตุผลขึ้นต่อสู้แสดงว่า สัญญาที่โจทก์ในเรื่องนั้น ๆ นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย หาเหมือนกับเรื่องของจำเลยในคดีนี้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ขอให้สืบพยานโจทก์จำเลยใหม่ต่อไป ฟังไม่ได้ ศาลทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว

เหตุนี้จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย ค่าทนายความในชั้นฎีกาให้เป็นพับไป

Share