คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ เกิดขึ้นต่อเมื่อธนาคารซึ่งมีชื่อเป็นผู้ใช้เงินตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น และแม้เป็นการออกเช็คล่วงหน้า ก็ถือไม่ได้ว่าวันที่จำเลยเขียนเช็คนั้นเป็นเวลาเกิดเหตุการกระทำผิด ฉะนั้น การที่โจทก์ไม่ระบุวันจำเลยเขียนเช็คมาในฟ้อง จึงหาขาดสารสำคัญไม่ และที่โจทก์ไม่ระบุเลขที่ของเช็ค ไม่มีสำเนาเช็ค สำเนาใบคืนเช็ค ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมาท้ายฟ้อง ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ขาดสารสำคัญไม่ ฟ้องไม่เคลือบคลุม อนึ่งโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาโดยชัดแจ้งว่า จำเลยออกเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เบตง จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น คือธนาคารดังกล่าวนั่นเอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าจากโจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๑๗,๙๕๒.๖๐ บาท จำเลยได้ออกเช็ค ๓ ฉบับ เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว สั่งจ่ายเงินแก่โจทก์ จากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เบตง โดยเช็คลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๐๔ เงิน ๔๓,๕๔๕ บาท เช็คลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๔ เงิน ๓๗,๙๑๙.๕๐ บาท เช็คลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ เงิน ๓๔,๙๘๕ บาท ครั้นวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๐๔, ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๔ และ ๔ ธันวาคม ๒๕๐๔ โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์ในธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ จำเลยออกเช็คโดยทุจริตในขณะออกเช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรืออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชี หรือถอนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนจนเหลือไม่พอจะใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา ๓ และให้ใช้เงินค่าสินค้า ๑๑๗,๙๒๒ บาท ๖๐ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นไต่สวนคดีมีมูล รับฟ้องทั้งทางอาญาและแพ่ง
จำเลยให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม ฟ้องขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย นัดฟังคำพิพากษา
ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง ศาลไม่อนุญาต และวินิจฉัยว่า ฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง ส่วนฟ้องทางแพ่งยังไม่วินิจฉัย ให้จำหน่ายคดีไปฟ้องใหม่ในอายุความ
โจทก์อุทธรณ์ แต่ต่อมายื่นคำร้องว่าไม่อุทธรณ์ในส่วนแพ่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๕) แล้ว ไม่จำเป็นระบุถึงวันเขียนเช็ค ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้รับคำร้องเพิ่มเติมฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีเกี่ยวเนื่องกับคำร้องของโจทก์ และเป็นประโยชน์ต่อโจทก์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสั่งอีก พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนการพิจารณาในส่วนอาญาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อธนาคารซึ่งมีชื่อเป็นผู้ใช้เงินตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ถ้ายังไม่ยื่นเช็คต่อธนาคาร หรือธนาคารยังไม่ปฏิเสธการจ่ายเงิน ก็ยังไม่เกิดความผิดและเห็นว่า ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องเป็นการเพียงพอถือได้ว่า โจทก์ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุ ซึ่งเกิดการะกระทำผิดไว้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๘) แล้ว และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ตามที่จำเลยอ้างว่าเป็นการออกเช็คล่วงหน้า ก็ถือไม่ได้ว่าวันที่จำเลยเขียนเช็คเป็นเวลาเกิดเหตุการกระทำผิด การที่โจทก์ไม่ระบุวันจำเลยเขียนเช็คมาในฟ้อง จึงหาขาดสารสำคัญไม่ กับเห็นว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาหาได้มีความหมายว่าอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ฟ้องหาเคลือบคลุมไม่ เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเวลาและสถานที่ ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบคุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยมาครบถ้วนพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ที่โจทก์ไม่ระบุเลขที่ของเช็ค ไม่มีสำเนาเช็ค สำเนาใบคืนเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมาท้ายฟ้อง หาทำให้ฟ้องของโจทก์ขาดสารสำคัญไม่ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาโดยชัดแจ้งว่าจำเลยออกเช็คธนาคารนครหลวงไทยจำกัด เบตง จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นคือธนาคารดังกล่าวนั้นเอง และโจทก์มีอำนาจฟ้องพิพากษายืน.

Share