คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5064/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรชายและเป็นลูกจ้างผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ขับชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิด แต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่อาศัยฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และโจทก์ได้ตกลงกันต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 2 ผู้แทนเจ้าของรถยนต์บรรทุกยินดีชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของโจทก์ พนักงานสอบสวนได้บันทึกข้อตกลง และให้โจทก์จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นผลทำให้มูลละเมิดซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปทำให้แต่ละฝ่ายมีสิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 425, 850, 852 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อหมายเลขทะเบียน ๗๐-๐๐๓๙ ตาก จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรและลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และเป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชร จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าซื้อและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชร และจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชร เมื่อวันที่๒๔ เมษายน ๒๕๒๕ โจทก์ใช้นายสมจิตร์ น้อยโม่ ลูกจ้างของโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์บรรทุกอ้อยจากจังหวัดนครสวรรค์ไปส่งโรงงานน้ำตาล จังหวัดสิงห์บุรี ขณะที่นายสมจิตร์ขับรถยนต์ของโจทก์ไปตามถนนสายเอเชีย ถึงหน้าค่ายจิระประวัติ ตำบลนครสวรรค์ออก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรชายและเป็นลูกจ้างผู้ครอบครองรถของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ แต่สวนทางมาด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยขับแซงรถยนต์คันอื่นเข้ามาในช่องเดินรถของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน ๒๙๔,๖๖๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘กำแพงเพชร มาจากนายยอดอดุลย์ แล้วเอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวไว้แก่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๒ ได้ให้จำเลยที่ ๑ เช่ารถยนต์ดังกล่าวในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ขณะเกิดเหตุคดีนี้รถยนต์ดังกล่าวอยู่ในระหว่างการเช่าของจำเลยที่ ๑ และการรับประกันภัยของจำเลยที่ ๓จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเลียน ๗๐-๐๐๓๙ ตาก จำเลยที่ ๑ไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ หลังจากเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ ๒ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ หนี้ในมูลละเมิดจึงระงับสิ้นไป และการที่จำเลยที่ ๒ ตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๓ ไม่ได้ยินยอมอันเป็นการประพฤติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยอีกด้วยจำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นอกจากนี้ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท อย่างไรก็ดีจำเลยที่ ๓ จะรับผิดไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน ๑๔๑,๖๖๕บาทโดยจำเลยที่ ๓ รับผิดชำระ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ เท่านั้น ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดอยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒หรือไม่ โจทก์ไม่นำสืบข้อเท็จจริงไว้ และเมื่อโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างมาในฟ้องว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ อยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง จึงไม่อาจให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนไว้จากจำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓จะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องนั้น โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นบุตรชายและลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และเป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชร จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าซื้อและผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรชายและลูกจ้างผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ขับชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวต้องฟังว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อดจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ต้องร่วมรับผิด โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิด ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่อาศัยฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ ๒จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๕ จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชร จะต้องรับผิดตามข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายต่อโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๒เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชรและหลังเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ และโจทก์ได้ตกลงกันต่อหน้าร้อยตำรวจเอกสุนทร กมลพันธ์ฤกษ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ว่า จำเลยที่ ๒ ผู้แทนเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๔๘ กำแพงเพชร ยินดีชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๗๐-๐๐๓๙ ตาก ร้อยตำรวจเอกสุนทรได้บันทึกข้อตกลงและให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ลงชื่อไว้ปรากฏตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๒ บันทึกดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และเป็นผลให้มูลละเมิดซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไป ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒ โจทก์จะมาฟ้องจำเลยที่ ๒ ในมูลละเมิดที่ระงับสิ้นไปแล้วหาได้ไม่ ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ทำกันไว้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share