คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5064/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยสำแดงราคาสินค้าไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าแล้วแต่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินราคาสินค้าของจำเลยเพิ่มขึ้นเช่นนี้ การชำระเงินเพิ่มภาษีการค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ ต้องนำบทบัญญัติที่ใช้ในขณะที่จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักรมาบังคับ มิใช่บทบัญญัติที่ใช้ในขณะที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระภาษีการค้าตามที่เจ้าพนักงานประเมินให้ชำระ
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นบัญญัติให้ผู้นำของเข้าที่ไม่ชำระภาษีให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ค้างชำระและกำหนดไว้ด้วยว่าเงินเพิ่มตามมาตรานี้มิให้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ค้างชำระ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ากฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้ว เมื่อโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยให้เสียเงินเพิ่มดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไป แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกเงินเพิ่มในลักษณะเช่นนี้จากจำเลยอีกดังนั้น ถึงแม้ว่าเงินเพิ่มภาษีการค้าและเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลนับถึงวันฟ้องจะยังไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระ ศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าและเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์จนครบจำนวนภาษีที่ค้างชำระอีกไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้นำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อสินค้านำเข้าถึงด่านศุลกากร ท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ จำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้ารวม ๒ ฉบับ และจำเลยได้รับสินค้าดังกล่าวไปจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๒ ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ ได้ทำการตรวจสอบสินค้าและราคาตามที่จำเลยสำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงคายการค้าทั้งสองฉบับแล้ว พบว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าไว้ต่ำกว่าราคาแท้จริงในท้องตลาดและบัตรราคาของกรมศุลกากรทีใช้เป็นเกณฑ์ประเมินอากรเมื่อนำเงินประกันที่จำเลยวางไว้หักออก ปรากฏว่าจำเลยจะต้องชำระค่าภาษีอากรเพิ่มขึ้น เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ ๑ ได้แจ้งผลการประเมินดังกล่าวไปได้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมนำเงินไปชำระให้แก่โจทก์ทั้งสองและไม่ได้อุทธรณ์ภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน จำเลยจึงต้องเสียเงินเพิ่มอากรขาเข้าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนอากรที่เสียเพิ่ม เงินเพิ่มอากรขาเข้าร้อยละ ๑ ต่อเดือนของเงินอากรที่จะต้องชำระเพิ่มนับแต่วันที่ได้ส่งมอบของคิดคำนวณถึงวันฟ้อง เงินเพิ่มภาษีการค้าร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนของเงินภาษีการค้าที่จะต้องชำระคิดถึงวันฟ้อง และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ ๑๐ ของเงินเพิ่มภาษีการค้า จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงินค่าอากรขาเข้าภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล และเงินเพิ่มตามกฎหมายรวมทั้งสิ้น ๑๓๙,๗๖๘.๖๑ บาท ให้แก่โจทก์และให้จำเลยร่วมกันชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในยอดเงินของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรวม ๘๖,๑๑๕.๓๒ นับแต่วันฟ้องจนถึงวันจำเลยชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยร่วมกันชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าร้อยละ ๑ ต่อเดือนของอากรที่จะต้องชำระเพิ่มตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าทั้ง ๒ ฉบับ ในยอดเงิน ๒๕,๘๒๘.๑๗ บาท เป็นเงินดือนละ ๒๕๔.๒๘ บาท โดยคิดเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนถึงวันจำเลยชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๓๕,๔๖๒.๕๒ บาท และเงินเพิ่มอากรขาเข้าเดือนละ ๒๕๔.๒๘ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดรับชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ ทวิ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๒๘ ที่ใช้อยู่ในเวลาขณะที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระภาษีการค้าภายในกำหนดเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน มิใช่ร้อยละ ๑ ต่อเดือนตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ ทวิ ที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยนำสินค้าเข้ามานั้น เห็นว่าในการเก็บภาษีการค้าจากผู้ที่นำของเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร ในคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ได้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๒ โดยจำเลยที่ ๑ ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้า ๒ ฉบับ พร้อมกับชำระเงินค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล ตามจำนวนที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้าทั้งสองฉบับต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังวางเงินประกันไว้อีกด้วย จำเลยที่ ๑ จึงได้รับสินค้าต่าง ๆ ตามใบขนสินค้าและแบบแสดงคายการการค้าทั้งสองฉบับดังกล่าวไปเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๒ ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ ๑ ทำการประเมินราคาสินค้าจำเลยที่ ๑ นำเข้ามาเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าจำเลยที่ ๑ สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเช้าและแบบแสดงรายการค้าทั้งสองฉบับ และได้ประเมินอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล เพิ่มขึ้นพร้อมกับแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ ๑ ทราบแล้วแต่จำเลยที่ ๑ ไม่นำภาษีอากรต่าง ๆ ตามที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ ๑ แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบมาชำระภายในกำหนด มาตรา ๑๑๒ ทวิ เช่นนี้ จำเลยที่ ๑ จึงต้องเสียเงินเพิ่มค่าอากรในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของค่าอากรที่ต้องชำระเพิ่มนับแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๒ จนถึงวันที่นำเงินมาชำระ และการชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการชำระเงินเพิ่มอากรดังกล่าว คือต้องชำระเงินเพิ่มภาษีการค้านับแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๒ จนถึงวันที่นำเงินมาชำระ แต่ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ ทวิ ที่ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน เพิ่งแก้ไชเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๒๘ และให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไป ฉะนั้น จึงต้องนำประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๙ ทวิ ที่ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ ๑ ต่อเดือน ในขณะที่จำเลยจำของเข้ามาในปี ๒๕๒๒ มาใช้บังคับ
ที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ ทวิ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นเงินเพิ่มภาษีการค้าเดือนละ ๓๙๑.๔๓ บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๙๐ เดือน เป็นเงิน ๓๕,๒๒๘.๗๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ยังไม่เกินภาษีการค้าที่ต้องชำระโดยยังขาดอยู่ ๓,๙๑๔.๖๓ บาท และภาษีบำรุงเทศบาล ยังขาดอยู่เป็นเงิน ๓๙๑.๔๖ บาท หรือจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดจะต้องเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าและเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ ทวิ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญญัติให้ผู้นำของเข้าที่ไม่ชำระภาษีให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ ๑ ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระอยู่แล้ว และกำหนดไว้ด้วยว่าเงินเพิ่มตามมาตรานี้มิให้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า กฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ภาษีที่ค้างชำระไว้ โดยเฉพาะแล้วแต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยให้เสียเงินเพิ่มดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลนับถึงวันฟ้องจะยังไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระ ศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินเพิ่มภาษีการค้า และเงืนเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์จนครบจำนวนภาษีที่ต้องชำระไม่ได้
พิพากษายืน

Share