แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิม ค. สามีโจทก์ที่ 1 และโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางเดินบนที่ดินของ พ. ทางด้านทิศตะวันออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี ที่ดินของ พ.ดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของ ค. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบกับมาตรา 1382ต่อมา พ.ขอให้ค. ย้ายทางภารจำยอมเดิมมายังทางพิพาทเพื่อประโยชน์ของ พ. ซึ่งประสงค์จัดสรรที่ดินขายทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแทนทางเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินสามยทรัพย์มาจาก ค. และโจทก์ที่ 2ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสามยทรัพย์มาจากโจทก์ที่ 1โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินจาก พ. ซึ่งมีทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์ให้เปิดทางพิพาทและจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้ เพราะการจดทะเบียนภารจำยอมนั้นถือว่าเป็นการอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมประการหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 วรรคแรก โจทก์ทั้งสองใช้ทางเดินในที่ดินของ พ. โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมมิใช่ถือวิสาสะจนได้ภารจำยอมโดยอายุความแล้ว แม้โจทก์ที่ 1 จะทราบหรือไม่ทราบระหว่างโจทก์ที่ 1 หรือ ค. เจ้าของที่ดินเดิมที่โจทก์ที่ 1 รับโอนที่ดินมา ผู้ใดเป็นผู้ได้สิทธิภารจำยอมตามกฎหมาย ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ เหตุที่ พ.ขอให้ค. ย้ายทางภารจำยอมนั้นเนื่องจากพ. จะนำที่ดินแปลงที่เป็นภารยทรัพย์มาจัดสรรขาย ดังนั้นการย้ายทางภารจำยอมไปใช้ทางพิพาทจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ พ. การย้ายทางภารจำยอมดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ และการที่ค. เจ้าของที่ดินแปลงที่เป็นสามยทรัพย์ตกลงจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ พ.ก็เป็นค่าตอบแทนในส่วนที่ค.จะได้ใช้ทางพิพาทกว้างขึ้นจากเดิมนั้น คู่กรณีย่อมสามารถตกลงกันด้วยความสมัครใจได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1392 โจทก์ทั้งสองจึงสามารถสืบพยานบุคคลถึงข้อตกลงดังกล่าวเพื่ออธิบายประกอบให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของคู่กรณีได้ โจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทจนได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินของจำเลยโดยอายุความ และโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิที่ได้ภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ มิใช่ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่าง ค. กับโจทก์แม้ว่า ค. จะผิดสัญญาการชำระเงินหรือไม่ก็ตาม ก็หาทำให้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาทของโจทก์ทั้งสองที่มีอยู่สิ้นไปไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองทุกแปลง ตามรายละเอียดในแผนที่เอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์อ้างส่ง แต่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระบุเลขโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 ไม่ครบทุกแปลงโดยไม่ระบุที่ดินตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 ด้วย ย่อมทำให้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 1 แปลงดังกล่าวนั้นไร้ผล เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 622, 624, 38565, 38567, 38568, 7406 และ 1300โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 38569 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทน จำเลยที่ 1เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 ที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 623 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินของโจทก์ทั้งสองทั้งแปดโฉนดอยู่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันและอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 623 และ 123794 ของจำเลยทั้งสองที่ดินของโจทก์ทั้งสองทั้งแปดโฉนดถูกล้อมรอบโดยที่ดินของผู้อื่นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสอง บุตรและบริวารได้เดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 623 เป็นทางออกสู่ซอยอยู่เย็นซึ่งเป็นทางสาธารณะมานานกว่า 30 ปี แล้ว ต่อมาเมื่อวันที่1 สิงหาคม 2521 นายครอง คงพิทักษ์ ซึ่งเป็นสามีของโจทก์ที่ 1ได้ตกลงกับนายพินเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 623 เดิมให้ย้ายทางที่ใช้อยู่เดิมไปใช้ที่ดินริมโฉนดทางด้านทิศเหนือของโฉนดที่ดินเลขที่ 623 ซึ่งปัจจุบันแบ่งแยกออกเป็นโฉนดเลขที่ 123794เป็นถนนบางส่วนและโฉนดเลขที่ 623 มีความกว้างประมาณ 8 เมตรมีความยาวประมาณ 230 เมตร เพื่อให้โจทก์และบุตรใช้เป็นทางเดินและทางรถยนต์ไปออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองสู่ทางสาธารณะ(ซอยอยู่เย็น) โดยเสียค่าตอบแทนให้แก่นายพินเป็นเงิน100,000 บาท แต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โจทก์ทั้งสอง บุตรและบริวารได้ใช้ทางดังกล่าวเป็นทางเดินและทางรถยนต์เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองทั้งแปดแปลงออกสู่ถนนสาธารณะ (ซอยอยู่เย็น) โดยสงบเปิดเผยและโดยเจตนาเป็นทางภารจำยอมตลอดเวลา หลังจากนายพินขายที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 และ 623 ให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วโจทก์ทั้งสองกับบุตรและบริวารยังใช้ทางดังกล่าวเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะเช่นเดิมโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งมาเป็นเวลา 16 ปี แล้วที่ดินดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงตกอยู่ในบังคับเรื่องทางภารจำยอมของโจทก์ทั้งสองโดยอายุความ ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 622, 624, 7406, 38565 และ 38567 เข้าด้วยกันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 2414 และโจทก์ที่ 2 ได้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 38569 ออกเป็น 4 แปลง คือ โฉนดที่ดินเลขที่ 38569,2411 ถึง 2413 ต่อมาจำเลยทั้งสองได้นำเหล็กและท่อคอนกรีตมาปิดกั้นทางดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสองกับบุตรและบริวารไม่สามารถใช้เป็นทางรถยนต์ออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้มีคำสั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 ทั้งแปลง และ 623 ตกอยู่ในบังคับภารจำยอมเรื่องทางเดินและทางรถยนต์ของที่ดินโฉนดเลขที่ 1300, 2411 ถึง 2422 โฉนดที่ดินเลขที่ 38568 และ 38569 โดยบังคับให้จำเลยทั้งสองนำที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 และ 623 ไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมลงในโฉนดที่ดินเลขที่ 123794 และเลขที่ 623 ให้แก่โจทก์ทั้งสองห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องขัดขวางการใช้ทางภารจำยอมของโจทก์ทั้งสองและบริวาร ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเหล็กและท่อคอนกรีตซึ่งปิดทางภารจำยอมออก หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนสิ่งกีดขวางดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินของจำเลยทั้งสองโฉนดเลขที่ 12394 และ 623 มิได้ตกอยู่ในภารจำยอมของที่ดินตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างเพราะโจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ที่ดินออกสู่ทางสาธารณะมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โจทก์ทั้งสองมีทางออกสู่ทางสาธารณะแล้วและได้ใช้เป็นทางภารจำยอมเรื่องทางเดินทางรถยนต์ ทางระบายน้ำ ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และสาธารณูปโภคทุกชนิด ตามบันทึกข้อตกลงภารจำยอมเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1โจทก์เพิ่งก่อสร้างบ้านใกล้กับที่ดินของจำเลยทั้งสอง ได้มาขออนุญาตจำเลยเพื่อให้รถเข้าออกเป็นครั้งคราว เพื่อจะได้บรรทุกดินหินทราย เหล็กเส้น และวัสดุก่อสร้างเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกันจึงได้ให้ความเอื้อเฟื้ออนุญาตให้โจทก์นำรถเข้าออกเป็นครั้งคราว แต่โจทก์นำรถบรรทุกสิบล้อบรรทุกวัสดุก่อสร้างเข้าไป ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหายจำเลยจึงได้ปิดกั้นไม่ให้รถบรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกแต่รถขนาดเล็กยังเข้าออกได้ ก่อนจำเลยจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 623มาที่ดินดังกล่าวยังเป็นนาอยู่ รถยนต์ไม่สามารถแล่นเข้าออกได้ถนนพิพาทเพิ่งสร้างขึ้นมา เมื่อจำเลยทั้งสองเข้าดำเนินการก่อสร้างหมู่บ้านเมื่อประมาณปี 2532 จำเลยได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นถนนเพื่อให้ผู้ซื้อบ้านของจำเลยได้ใช้สัญจรเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ที่โจทก์อ้างว่า นายครองได้ตกลงกับนายพินให้ย้ายจากทางที่ใช้อยู่เดิมมาใช้ทางทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 623 มีความกว้าง 8 เมตร ยาว 230 เมตรไม่เป็นความจริง ที่โจทก์อ้างว่าเสียค่าตอบแทนแก่นายพินให้ย้ายจากทางที่ใช้อยู่เดิมมาใช้ทางทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 623 มีความกว้าง 8 เมตร ยาว 230 เมตรไม่เป็นความจริง ที่โจทก์อ้างว่าเสียค่าตอบแทนแก่นายพิณเป็นเงิน 100,000 บาท แต่ไม่ได้จดทะเบียนสิทธิภารจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยทั้งสองไม่ได้รู้ถึงข้อตกลงดังกล่าวด้วยโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งสองจดภารจำยอมให้เนื่องจากไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองเปิดทางกว้าง 6 เมตรยาวประมาณ 220 เมตร เพื่อเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งสองผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 ทั้งแปลงของจำเลยที่ 1 และโฉนดเลขที่ 623 ของจำเลยที่ 2 ตามรายละเอียดในแผนที่เอกสารหมาย จ.1 โดยให้ถือแผนที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาเพื่อเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1300, 2414ถึง 2422 ของโจทก์ที่ 1 และที่ดินโฉนดเลขที่ 38569, 2411ถึง 2413 ของโจทก์ที่ 2 โดยให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่เปิดทางก็ให้โจทก์ทั้งสองดำเนินการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย คำขอของโจทก์ทั้งสองส่วนอื่นให้ยกให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ที่ 1 เป็นมารดาของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 622, 624, 38565, 38567, 38568,7406 และโฉนดเลขที่ 1300 ที่ดินอยู่ติดกัน ต่อมาโจทก์ที่ 1ได้รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 622, 624, 7406, 38565 และ 38567เข้าด้วยกันเป็นโฉนดเลขที่ 2414 ปัจจุบันโจทก์ที่ 1ตั้งบ้านเรือนอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 38568 และ 1300 โจทก์ที่ 2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 38569 ตำบลจรเข้บัวอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมาโจทก์ที่ 2 ได้แบ่งแยกเป็น 4 แปลง เป็นโฉนดเลขที่ 38569, 2411 ถึง 2413ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ติดกัน ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 623 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 623 ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนายพินรุ่งสุวรรณ์ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2532 แล้วปลูกบ้านจัดสรรขายเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2537 จำเลยทั้งสองได้นำเหล็กและท่อคอนกรีตมาปิดกั้นทางในที่ดินของตน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 และ 623 ของจำเลยทั้งสองตกอยู่ในทางภารจำยอมเรื่องทางเดินและทางรถยนต์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองและพยานโจทก์เบิกความไปตามความจริง ยิ่งกว่านั้นได้ความจากพระครูวิมลวิหารกิจพยานจำเลยซึ่งเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดลาดปลาเค้าตั้งแต่อายุ22 ปี (ปัจจุบันมีอายุ 67 ปี) และรู้จักคุ้นเคยกับโจทก์ทั้งสองนายพิน และนายครอง ตลอดจนจำเลยที่ 2 เป็นอย่างดีว่าพยานเป็นผู้ชักชวนให้จำเลยทั้งสองมาซื้อที่ดินของนายพินเพราะนายพินขอให้พยานช่วยขายที่ดินให้ เนื่องจากที่ดินติดจำนองกำลังจะถูกบังคับให้ขายทอดตลาด พยานพาจำเลยที่ 2ไปพบนายพินที่บ้านนายพินบอกว่าได้อนุญาตให้ชาวบ้านเดินผ่านทางพิพาท หากมีการซื้อขายกันแล้ว ก็ขอให้ชาวบ้านใช้ทางพิพาทต่อไปทั้งในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนายพินยังบอกพยานให้ขอจำเลยที่ 2ว่าให้ชาวบ้านเดินในทางพิพาทได้ ดังนี้ คำเบิกความของพระครูวิมลวิหารกิจ แสดงว่านายพินรับรองถึงข้อเท็จจริงที่ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทมาเป็นเวลาช้านานเป็นการเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นประกอบกับเมื่อพิจารณาข้อความตามเอกสารหมาย จ.25 ซึ่งนายพินทำสัญญาตกลงให้นายครองใช้ที่ดินรวม 7 โฉนดตามฟ้องของนายครองผ่านทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 623 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม2521 โดยนายครองจ่ายเงินค่าตอบแทนให้นายพิน 50,000 บาทในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท จะชำระในวันจดทะเบียนภารจำยอมและปรากฏว่านายครองกับโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทตลอดมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2530นายครองกับนายพินได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามเอกสารหมาย ล.4 ซึ่งนายพินยอมรับว่าเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2521นายพินได้ทำสัญญาจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 623 ให้แก่นายพินโดยนายพินคิดค่าตอบแทนจากนายครอง 100,000 บาทนายครองได้ชำระเงินงวดแรกให้แก่นายพินไปแล้ว 50,000 บาทคงเหลืออีก 50,000 บาท นายพินได้ให้สิทธินายครองใช้ที่ดินของนายพิน กว้างไม่เกิน 6 เมตร ยาวประมาณ 220 เมตร(ตามที่นายครองใช้จริงในขณะนั้น) เป็นทางเดินผ่านเข้าออกจากบ้านนายครองไปสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2521เป็นต้นมา นายพินยินยอมให้นายครองใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกต่อไป และยินยอมให้นายครองทำถนนรถยนต์ในที่ดินพิพาทตามข้อตกลงได้เพื่อเป็นการตอบแทนนายพิน นายครองตกลงจะชำระเงินที่ยังค้างอีก 50,000 บาท ให้แก่นายพินภายในวันที่1 สิงหาคม 2531 และนายพินจะต้องไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่นายครองภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวหากนายพินไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมเป็นการแสดงเจตนาของนายพินเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนภารจำยอมต่อไปดังนี้ ข้อตกลงระหว่างนายพินกับนายครองตามเอกสาร 2 ฉบับดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงเจตนาของนายพินอย่างชัดแจ้งว่าการที่นายพินยอมให้นายครองใช้ทางพิพาทก็เพื่อให้เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของนายครอง หาใช่เป็นกรณีที่นายพินเอื้อเฟื้อให้นายครองใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายพินไม่เหตุที่นายครองต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่นายพินเพราะเดิมนายครองใช้ที่ดินของนายพินออกสู่ถนนสาธารณะเป็นทางเดินผ่านกว้างเพียงประมาณ 3 ถึง 4 เมตร เมื่อนายพินขอให้นายครองย้ายไปเดินบนที่ดินด้านทิศเหนือ คือ ทางพิพาทซึ่งเป็นทางกว้างขึ้นเป็น 6 เมตร นั่นเอง ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า นายครองและโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางเดินบนที่ดินทางด้านทิศตะวันออกของนายพินออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันเกิน 10 ปีทางเดินบนที่ดินของนายพินดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของนายครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401ประกอบกับมาตรา 1382 และได้ความต่อมาว่าเมื่อนายพินขอให้นายครองย้ายทางภารจำยอมเดิมมายังทางพิพาทเพื่อประโยชน์ของนายพินซึ่งประสงค์จัดสรรที่ดินขาย ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแทนทางเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1392 เพราะนายครองและโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทต่อเนื่องกันตลอดมา เมื่อโจทก์ที่ 1 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องมาจากนายครอง และโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากโจทก์ที่ 1 อันเป็นสามยทรัพย์แล้วภารยทรัพย์ย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1393 วรรคแรก โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินซึ่งมีทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์เปิดทางพิพาทและจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้เพราะการจดทะเบียนภารจำยอมนั้นถือว่าเป็นการอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมประการหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 วรรคแรกที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยนำสืบว่านายครองและโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางเดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดเลขที่ 623 โดยสงบเปิดเผย และเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมโดยใช้สิทธิของตนเอง ศาลฎีกาเห็นว่าได้ความจากโจทก์ทั้งสองว่าโจทก์ที่ 1 เดินผ่านที่ดินของนายพินทางด้านทิศตะวันออกไปออกซอยอยู่เย็น ตั้งแต่โจทก์ที่ 1 แต่งงานกับนายครองเมื่อโจทก์ที่ 1 มีอายุ 20 ปีเศษ (ขณะเบิกความโจทก์ที่ 1มีอายุ 67 ปี) และโจทก์ที่ 2 เกิดที่บ้านของโจทก์ที่ 1จนกระทั่งอายุ 20 ปี โจทก์ที่ 2 ก็แต่งงานไป โจทก์ที่ 1ยกที่ดินให้โจทก์ที่ 2 เมื่อปี 2500 ตอนที่โจทก์ที่ 2อยู่กับโจทก์ที่ 1 นั้น เวลาจะออกไปทางสาธารณะที่ซอยอยู่เย็นก็จะผ่านที่ดินของนายพินทางด้านทิศตะวันออกนอกจากครอบครัวของโจทก์ที่ 2 แล้วยังมีชาวบ้านเดินผ่านที่ดินของนายพินไปออกสู่ซอยอยู่เย็นด้วย ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ทั้งสองเดินผ่านที่ดินทางด้านทิศตะวันออกของนายพินซึ่งเดิมเป็นของนายชั้นไปสู่ทางสาธารณะเกินกว่า 10 ปีแล้วทั้งไม่ปรากฏว่ามีผู้โต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองใช้ทางเดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินดังกล่าวโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมมิใช่ถือวิสาสะ และการที่โจทก์ที่ 1 เบิกความว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวมีภารจำยอมหรือไม่นั้น เมื่อพฤติการณ์ที่โจทก์ทั้งสองใช้ทางเดินดังกล่าวจนได้ภารจำยอมโดยอายุความแล้วแม้โจทก์ที่ 1 จะทราบหรือไม่ว่าโจทก์ที่ 1 หรือนายครองได้สิทธิภารจำยอมตามกฎหมายก็ไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การย้ายภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 นั้น นายพินจะต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองและต้องเป็นการเรียกให้ย้ายทางภารจำยอมเพื่อประโยชน์ของนายพินเท่านั้นแต่นายครองกลับต้องเป็นผู้ชำระเงินให้แก่นายพิน ทั้งสัญญาตามเอกสารหมาย จ.25 ไม่ได้ระบุว่าเป็นการย้ายภารจำยอม กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 นั้น เห็นว่าเหตุที่นายพินขอให้นายครองย้ายทางภารจำยอมนั้นได้ความว่านายพินคิดจะนำที่ดินโฉนดเลขที่ 623 มาจัดสรรขาย การย้ายทางภารจำยอมจากด้านทิศตะวันออกไปใช้ทางพิพาทด้านทิศเหนือจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่นายพิน แม้นายครองตกลงจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่นายพินก็เป็นค่าตอบแทนในส่วนที่นายครองจะได้ใช้ทางพิพาทกว้างขึ้นจากเดิม ซึ่งคู่กรณีย่อมสามารถตกลงกันได้ด้วยความสมัครใจ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1392 ทั้งการย้ายทางภารจำยอมดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใดโจทก์ทั้งสองจึงสามารถสืบพยานบุคคลอธิบายประกอบได้ ดังนั้นแม้ไม่มีข้อความระบุว่าเป็นการย้ายทางภารจำยอมในเอกสารหมาย จ.25 เมื่อโจทก์สามารถนำสืบพยานบุคคลประกอบเอกสารดังกล่าวให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของคู่กรณีก็ย่อมรับฟังเช่นนั้นได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่านายพินได้รับชำระเงินส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาทจากนายครอง นายครองจึงผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อเลยกำหนดเวลาการชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย ล.5 แล้วก็ต้องถือว่านายครองไม่ติดใจที่จะให้ทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอม โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินพิพาทนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิที่ได้ภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ หาใช่อาศัยสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสาร ล.4 ไม่ เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทจนได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยอายุความแล้ว แม้ว่านายครองจะผิดสัญญาการชำระเงินจำนวนส่วนที่ยังค้างชำระหรือไม่ก็ตาม ก็หาทำให้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาทของโจทก์ทั้งสองที่มีอยู่สิ้นไปไม่ ภารจำยอมเป็นทรัพย์สิทธิประการหนึ่งจะหมดสิ้นไปก็โดยอาศัยผลของกฎหมาย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397, 1398, 1399และ 1400 อาทิเช่น ถ้ามิได้ใช้ภารจำยอมเป็นเวลา 10 ปี เป็นต้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองทุกแปลง ตามรายละเอียดในแผนที่เอกสารหมาย จ.1 แต่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระบุเลขโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 ไม่ครบทุกแปลง โดยไม่ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ 38568จึงทำให้คำวินิจฉัยของศาลในส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 1 แปลงดังกล่าวไร้ผล ถือว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้เสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทกว้าง 6 เมตร ยาวประมาณ 220 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 123794 ของจำเลยที่ 1 และโฉนดเลขที่ 623 ของจำเลยที่ 2 ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.1 ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 38568 ของโจทก์ที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์