คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540มาตรา 82 และมาตรา 85 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลมิได้บัญญัติให้มีการเลือกประธานสภาและรองประธานสภาขึ้นมาใหม่คงให้เลือกเฉพาะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเท่านั้นดังนั้น เมื่อประธานสภาจังหวัดและรองประธานสภาจังหวัดซึ่งถูกเลือกตั้งขึ้นมาจากสภาจังหวัดตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการจังหวัด พ.ศ. 2498 มาตรา 13 ตามมติที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มติดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับต่อไป ทั้งการเลือกประธานและรองประธานสภาองค์การบริหารส่งจังหวัดตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 มาตรา 17 ก็ให้สภานั้นเป็นผู้เลือกสมาชิกขึ้นมาเป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ศ. ประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์และ ส. รองประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์เดิม จึงยังคงเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์อยู่ต่อไปตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 82ประกอบมาตรา 85 ซึ่ง ศ.และส. จะหมดวาระก็ต่อเมื่อมีการประชุมสมัยสามัญประจำปี 2540 เท่านั้น เมื่อมิได้มีการประชุมวิสามัญประจำปี 2540 แม้จะมีระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 ในบทเฉพาะกาล ข้อ 150 กำหนดให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลือกประธานสภา รองประธานสภาขึ้นใหม่ในการประชุมครั้งแรกก็ตาม แต่เมื่อระเบียบดังกล่าวจะใช้ก็แต่เฉพาะในการประชุมครั้งแรกกรณีมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540มาตรา 22 แล้วเท่านั้น ซึ่งมิฉะนั้นแล้วก็จะไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 82และมาตรา 85 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ประกาศเรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่16 ธันวาคม 2540 และ 30 ธันวาคม 2540 โดยมีระเบียบวาระการประชุมเกี่ยวกับประธานสภาชั่วคราว การเลือกประธานและรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงไม่ชอบ และการดำเนินการประชุมดังกล่าว ประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์ไม่ได้ดำเนินการประชุมทั้งที่อยู่ในที่ประชุม การประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยังผลให้ผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ว่าตำแหน่งใดในการประชุมจึงไม่ชอบไปด้วย ปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมไม่อาจวินิจฉัยให้ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลสั่งรวมพิจารณา เพื่อความสะดวกให้เรียกโจทก์ทั้งสี่ในสำนวนแรกตามเดิม เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 4 และที่ 2 ตามลำดับ เรียกจำเลยทั้งสองในสำนวนแรกตามเดิม และเรียกจำเลยทั้งสี่ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องรวมใจความว่า โจทก์ทั้งสี่ และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 จำเลยที่ 2ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่16 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ประกาศให้มีการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ขึ้นและที่ประชุมได้ลงมติเลือกโจทก์ทั้งสี่เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ คนที่ 1 คนที่ 2และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตามลำดับ จากนั้นมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์จำนวนหนึ่งยื่นหนังสือร้องเรียนต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าการประชุมดังกล่าวไม่ถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย ข้อบังคับการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้มีคำสั่งที่ 3666/2540 เพิกถอนมติสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2540 ในการเลือกโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1 คนที่ 2 และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์อันเป็นการจงใจ ประมาทเลินเล่อและมิชอบด้วยกฎหมาย ฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ข้อ 90ซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ร่วมประชุมกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์โดยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมายทุกประการ การประชุมในวันที่ 16 ธันวาคม 2540 จึงชอบด้วยกฎหมายการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อไปได้ ทั้งไม่รับเงินค่าตอบแทนประจำตำแหน่งคิดเป็นเงิน 500,000 บาท ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ได้ออกประกาศจังหวัดบุรีรัมย์เรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 30 ธันวาคม 2540 โดยมีวาระการประชุมเลือกรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ครั้นถึงวันดังกล่าวจำเลยที่ 2กับพวกได้จัดให้มีการประชุม โดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ได้สั่งให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน และใช้อำนาจของประธานสภาสั่งเลิกประชุม แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้นายบุญถึง ทองกระจายสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เขตอำเภอพลับพลาชัยขึ้นทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม โดยที่โจทก์ที่ 1 ยังอยู่ในที่ประชุมและได้ดำเนินการเลือกจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1คนที่ 2 และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนมติสภาและไม่มีอำนาจเรียกประชุมสภาเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5การกระทำของจำเลยทั้งห้า ขัดต่อพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5จึงไม่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งจังหวัดบุรีรัมย์ที่ 3666/2540 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2540เรื่อง เพิกถอนมติสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่ กับขอให้ศาลพิพากษาว่าการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2540 เป็นการประชุมโดยมิชอบ จำเลยที่ 3ถึงที่ 5 ไม่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบห้ามปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1คนที่ 2 และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตามลำดับและพิพากษาว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบ
สำนวนหลังในชั้นรับฟ้อง ศาลคงรับฟ้องไว้เฉพาะจำเลยที่ 2ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่รับฟ้อง
สำนวนแรกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ประกาศให้มีการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2540 และในวันดังกล่าวที่ประชุมได้ลงมติเลือกโจทก์ที่ 1 เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ส่วนการเลือกโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1 คนที่ 2 และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์นั้น เป็นการลงมติที่ฝ่าฝืนกฎหมายกฎหรือระเบียบข้อบังคับของทางราชการ และเป็นมติที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ และประธานสภาขณะนั้นหาได้ตรวจสอบดูว่ามีสมาชิกอยู่ในที่ประชุมครบองค์ประชุมหรือไม่ เพราะหากไม่ครบองค์ประชุมจะทำการลงมติไม่ได้ ขัดต่อระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540ข้อ 89 จำเลยทั้งสองจึงมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนมติดังกล่าวได้ตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 สำหรับระเบียบกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวข้อ 90ที่โจทก์ทั้งสี่อ้างนั้นเป็นสมาชิกไม่ครบกึ่งหนึ่งแล้วประธานสภาจะถามมติหรือความเห็นของที่ประชุมไม่ได้ จำเลยทั้งสองออกคำสั่งเพิกถอนการเลือกโจทก์ที่ 1 เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงมิได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ขณะที่พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 นายศักดิ์ชัย เตชะเกรียงไกรเป็นประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์ นายสนอง เทพอักษรณรงค์เป็นรองประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์ โดยบุคคลทั้งสองได้รับเลือกเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2539 จะหมดวาระเมื่อมีการประชุมสมัยสามัญประจำปี 2540 ซึ่งกำหนดวันประชุมไว้ในวันที่ 19 ธันวาคม 2540แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการประชุมสมัยสามัญประจำปี 2540 วันที่ 3ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ได้ออกประกาศจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่อง เรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2540 และได้มีหนังสือเรียกประชุมถึงสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ทั้ง 36 คน ครั้นถึงวันประชุมสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ทั้ง 36 คน มีนายศักดิ์ชัยและนายสนองรวมอยู่ด้วยมาร่วมประชุม นายสมศักดิ์ วัฒนากูลผู้ตรวจการท้องถิ่นซึ่งกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ได้เชิญนายลบ ปาลไธสงสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เขตอำเภอนาโพธิ์ซึ่งอาวุโสสูงสุดขึ้นทำหน้าที่ประธานชั่วคราว เพื่อเลือกประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ หลังจากนายลบดำเนินการแล้วที่ประชุมได้เลือกโจทก์ที่ 1 เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่างที่จะเลือกรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1 และคนที่ 2 ได้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์บางส่วน รวมทั้งนายสนองออกจากที่ประชุม แต่ยังคงมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์บางส่วนอยู่ในที่ประชุมนายลบได้ดำเนินการประชุมต่อ ที่ประชุมลงมติเลือกโจทก์ที่ 2 และที่ 3เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1และคนที่ 2 ตามลำดับ จากนั้นนายลบได้เชิญโจทก์ที่ 1ขึ้นเป็นประธานในที่ประชุมเพื่อเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ประชุมมีมติเลือกโจทก์ที่ 4เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ และได้มีประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว โจทก์ที่ 1 ได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่22 ธันวาคม 2540 ต่อมาวันที่ 18 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 2ออกคำสั่งจังหวัดบุรีรัมย์ที่ 3590/2540 เรื่องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2540 และในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2ก็ออกคำสั่งจังหวัดบุรีรัมย์ที่ 3591/2540 เรื่อง ให้ระงับการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 22ธันวาคม 2540 ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 2ได้ออกคำสั่งจังหวัดบุรีรัมย์ที่ 3666/2540 เรื่อง เพิกถอนมติสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์วันที่ 16 ธันวาคม 2540ในการเลือกโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1 คนที่ 2 และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตามลำดับ ตามคำสั่งเอกสารหมาย จ.ล.5อันเป็นผลให้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสำนวนแรกในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2 ได้ออกประกาศจังหวัดบุรีรัมย์เรื่อง เรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 30 ธันวาคม 2540 แล้วได้มีหนังสือแจ้งวันประชุมให้สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ทั้ง 36 คน ทราบวันที่ 25 ธันวาคม 2540 โจทก์ที่ 1 ออกประกาศองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่อง งดการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 30 ธันวาคม 2540 ตามประกาศเอกสารหมาย จ.ล.7 นายสมชาย พลเวียง รองผู้ว่าราชการจังหวัดรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์มีหนังสือถึงโจทก์ที่ 1 ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกประชุมได้ ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.ล.8 ครั้นถึงวันเวลาประชุมมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์มาร่วมประชุม 34 คน รวมทั้งนายศักดิ์ชัยและนายสนองด้วยคงขาดประชุม 2 คน โจทก์ที่ 1 ขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแล้วสั่งให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่ามีการเลือกรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์กับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว และเรื่องที่โต้เถียงกันอยู่ระหว่างรอคำวินิจฉัยของกระทรวงมหาดไทยและคำพิพากษาของศาล แล้วสั่งเลิกประชุม แต่สมาชิกยังคงอยู่ในที่ประชุมทั้ง 34 คน สมาชิกทั้งหมด 19 คน ขอให้มีการประชุมต่อนายตวงสิทธิ์ อภิชัยบุคคล เลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ได้เชิญโจทก์ที่ 1 ขึ้นทำหน้าที่ประธานแต่โจทก์ที่ 1 ปฏิเสธ จึงไปเชิญนายลบซึ่งอาวุโสสูงสุดทำหน้าที่ประธานแทน นายลบก็ปฏิเสธจึงไปเชิญนายบุญถึง ทองกระจายสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เขตอำเภอพลับพลาชัยซึ่งอาวุโสรองลงมาขึ้นทำหน้าที่ประธาน ซึ่งขณะนั้นโจทก์ที่ 1นายศักดิ์ชัยและนายสนองยังอยู่ในที่ประชุม ที่ประชุมลงมติเลือกจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์คนที่ 1 และคนที่ 2 ตามลำดับ จากนั้นนายบุญถึงเชิญโจทก์ที่ 1 ขึ้นทำหน้าที่ประธานเพื่อเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ แต่โจทก์ที่ 1 ปฏิเสธจึงเชิญจำเลยที่ 3 ขึ้นทำหน้าที่ประธาน ที่ประชุมลงมติเลือกจำเลยที่ 5 เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์และจำเลยที่ 3 ได้ประกาศผลการเลือกจำเลยที่ 5เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในที่ประชุมแล้วในการประชุมทั้ง 2 วัน โจทก์ที่ 1 และนายศักดิ์ชัยอยู่ในที่ประชุมตลอด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำนวนแรก ส่วนสำนวนหลังพิพากษาว่า การประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 30 ธันวาคม 2540 เป็นการประชุมโดยมิชอบด้วยกฎหมายผู้ที่ได้รับเลือกตั้งไม่มีอำนาจปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งที่ตนได้รับเลือกตั้ง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า การประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 16 ธันวาคม 2540และ 30 ธันวาคม 2540 เป็นการประชุมโดยชอบหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 82ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลบัญญัติว่า “ให้สภาจังหวัดที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้สมาชิกสภาจังหวัดซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบวาระตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามวรรคหนึ่งดำเนินการเลือกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดคนหนึ่งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ในระหว่างที่ยังไม่มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามวรรคสามให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดไปพลางก่อน” และมาตรา 85 บัญญัติว่า “ให้บรรดาข้อบัญญัติจังหวัดกฎระเบียบ ข้อบังคับ มติ คำสั่ง และประกาศที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด หรือกฎหมายอื่นที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมีการออกข้อบัญญัติ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ มติ คำสั่งและประกาศตามพระราชบัญญัตินี้” ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติให้มีการเลือกประธานสภาและรองประธานสภาขึ้นมาใหม่ คงให้เลือกเฉพาะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาความเป็นมาของตำแหน่งประธานสภาจังหวัดและรองประธานสภาจังหวัดแล้ว เห็นว่าประธานสภาจังหวัดและรองประธานสภาจังหวัดถูกเลือกตั้งขึ้นมาจากสภาจังหวัดตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดพ.ศ. 2498 มาตรา 13 จึงเป็นมติที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมติดังกล่าวคงมีผลใช้บังคับต่อไปตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 85 ทั้งการเลือกประธานและรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 17 ก็ให้สภานั้นเป็นผู้เลือกสมาชิกขึ้นมาเป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้นนายศักดิ์ชัย เตชะเกรียงไกร ประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์และนายสนอง เทพอักษรณรงค์ รองประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์จึงยังคงเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 82ประกอบมาตรา 85 ดังกล่าว ซึ่งจะหมดวาระเมื่อมีการประชุมสมัยสามัญประจำปี 2540 แต่จนถึงระหว่างพิจารณาคดีนี้ก็ยังมิได้มีการประชุมสมัยสามัญประจำปี 2540 แม้จะมีระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 ในบทเฉพาะกาล ข้อ 150 กำหนดให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลือกประธานสภา รองประธานสภาขึ้นใหม่ในการประชุมครั้งแรกก็ตาม แต่ระเบียบดังกล่าวน่าจะใช้ในการประชุมครั้งแรกกรณีมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 22 แล้วเท่านั้น มิฉะนั้นจะไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 มาตรา 82 และมาตรา 85 ดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ประกาศเรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 16 ธันวาคม 2540และ 30 ธันวาคม 2540 โดยมีระเบียบวาระการประชุมเกี่ยวกับประธานสภาชั่วคราว การเลือกประธาน และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจงหวัดตามประกาศเอกสารหมาย จ.ล.1 และ จ.ล.6จึงไม่ชอบ และการดำเนินการประชุมทั้งสองวันนายศักดิ์ชัยประธานสภาจังหวัดบุรีรัมย์ไม่ได้ดำเนินการประชุมทั้งที่อยู่ในที่ประชุม การประชุมทั้งสองวันจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายยังผลให้ผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ว่าตำแหน่งใดในการประชุมจึงไม่ชอบไปด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2อุทธรณ์ว่า ต่อมาวันที่ 25 มีนาคม 2541 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งยุบสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่แล้ว ทำให้สมาชิกภาพของโจทก์ทั้งสี่สิ้นสุดลง คำขอท้ายฟ้องของโจทก์สำนวนหลังพ้นวิสัยที่ศาลจะบังคับได้เพราะสภาพแห่งนี้ไม่เปิดช่อง ซึ่งโจทก์ทั้งสี่แก้อุทธรณ์ในข้อนี้ว่า คำสั่งดังกล่าวกำลังถูกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอน และศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยให้ระงับการเลือกตั้งไว้ก่อนผลของคำสั่งจึงยังไม่ยุตินั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจวินิจฉัยให้ได้
พิพากษายืน

Share