คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2654/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คำฟ้องจะชัดแจ้ง หรือไม่จึงต้องพิจารณาคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องทั้งหมดประกอบกัน โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยเมื่อปรากฏตามสำเนาสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ว่า ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาเจ้าของเดิมนั้น มีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 64 ไร่ แต่กลับปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 และ 7 ซึ่งเป็นใบจองและน.ส.3 ของที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ออกหลักฐานรุกล้ำ มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และปรากฏตามสำเนา เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 16 ซึ่งเป็นโฉนดที่ดินที่จะออกให้แก่จำเลย มีเนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา ดังนี้การที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากเจ้าของเดิมมีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 64 ไร่ แต่ที่ดินตามใบจองและ น.ส.3 ของจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6และ 7 กลับมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ทั้งที่ดินตามโฉนดที่ดินที่จะออกให้แก่จำเลยมีเนื้อที่ประมาณ 47 ไร่เศษ เท่านั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะขอออกใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดิน ดังกล่าวรุกล้ำที่ดินเจ้าของเดิมที่โจทก์ซื้อมาทั้งแปลงดัง คำฟ้องโจทก์ เพราะที่ดินตามใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดิน ดังกล่าวมีเนื้อที่น้อยกว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจาก เจ้าของเดิมถึง 10 ไร่เศษ นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 18 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ดินพิพาท ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยขอออกใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินนั้นเป็นที่ดินตรงบริเวณไหนของแผนที่ดังกล่าวหรือรุกล้ำที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมตรงส่วนไหนบ้างคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นการแสดงสภาพแห่งข้อหาขัดแย้งกันในตัวจึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาจากเจ้าของที่ดินเดิมคือ นายคำ บุราณรูป นายเคน หันชัยเนาว์ นายแฝง กองสีนายศรี กองสี และนายสมพงษ์ แหยมคง เนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 40 ไร่ เป็นเงิน 1,500,000 บาทตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เจ้าของที่ดินเดิมได้ครอบครองและทำประโยชน์มาไม่น้อยกว่า 10 ปีโจทก์ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อมาจนถึงปัจจุบัน จำเลยไม่เคยทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเลย จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจับจองและขอรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.1) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2511โดยจำเลยไม่เคยบุกเบิก ครอบครองและทำประโยชน์แต่อย่างใดและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเทิงออกใบจอง (น.ส.2) เล่ม 2 หน้า 165 สารบบเล่มที่ 54หมู่ที่ 6 ตำบลเวียง “ทุ่งหนองบัว” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงรายรวมเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 2 หน้า 165 สารบบเล่มที่ 54 หมู่ที่ 6 ตำบลเวียง “ทุ่งหนองบัว” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงรายเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ วันเดียวกันคือวันที่ 15 สิงหาคม 2511ให้แก่จำเลยตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6และ 7 อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยไม่ใช่เจ้าของที่ดินไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวขอออกใบจอง น.ส.3 และออกโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของเจ้าของเดิมทั้งแปลงเนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเทิง มีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินทั้งหมดของจำเลย หากจำเลยไม่ยอมเพิกถอน ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนเพื่อโจทก์จะได้นำคำสั่งไปแสดงที่สำนักงานที่ดินเพื่อแก้ไขให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจน และมูลเหตุแห่งสิทธิในการฟ้องคดีนี้ว่า ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมานั้นเป็นที่ดินตั้งอยู่ตรงไหน เกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยอย่างไร ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจคำฟ้องของโจทก์และไม่อาจต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ประกอบกับที่ดินของจำเลยมีเนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา แต่ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 นั้นโจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากเจ้าของเดิมมีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 64 ไร่ อันเป็นการผิดจากเนื้อที่ดินของจำเลยมาก ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารท้ายฟ้องย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คำฟ้องจะชัดแจ้งหรือไม่ต้องพิจารณาคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องทั้งหมดประกอบกัน เมื่อปรากฏตามสำเนาสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมนั้น มีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 64 ไร่แต่ปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 และ 7ซึ่งเป็นใบจองและ น.ส. 3 ของที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ออกหลักฐานรุกล้ำมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 16 ซึ่งเป็นโฉนดที่ดินที่จะออกให้แก่จำเลยมีเนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวาดังนี้ เท่ากับโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากเจ้าของเดิมมีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 64 ไร่ แต่ที่ดินตามใบจองและน.ส.3 ของจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 และ 7กลับมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ทั้งที่ดินตามโฉนดที่ดินที่จะออกให้แก่จำเลยมีเนื้อที่ประมาณ 47 ไร่เศษ เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะขอออกใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินดังกล่าวรุกล้ำที่ดินเจ้าของเดิมที่โจทก์ซื้อมาทั้งแปลงดังคำฟ้องโจทก์เพราะที่ดินตามใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่น้อยกว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมถึง 10 ไร่เศษนอกจากนั้นศาลฎีกาพิจารณาสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข18 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ดินพิพาทแล้ว ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยขอออกใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินนั้นเป็นที่ดินตรงบริเวณไหนของแผนที่ดังกล่าว หรือรุกล้ำที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมตรงส่วนไหนบ้าง คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นการแสดงสภาพแห่งข้อหาขัดแจ้งกันในตัว จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share