คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5058/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานเดินหมายนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปส่งให้แก่ทนายจำเลยที่3และที่4ณสำนักทำการงานของทนายจำเลยที่3และที่4แล้วแต่ไม่พบตัวทนายความและไม่มีผู้รับหมายไว้แทนโดยปรากฏว่าสำนักงานถูกปิดไว้และใส่กุญแจพนักงานเดินหมายจึงปิดหมายนัดไว้ตามคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อปรากฏว่าสำนักงานที่ทนายจำเลยที่3และที่4ทำงานอยู่นั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นนานแล้วก่อนพนักงานเดินหมายนำหมายนัดไปปิดไว้เช่นนี้จึงฟังไม่ได้ว่าได้ส่งหมายนัดณสำนักทำการงานของทนายจำเลยที่3และที่4ทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีการส่งหมายนัดแก่จำเลยที่3และที่4โดยตรงแต่อย่างใดการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงยังไม่ชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าจำเลยที่3และที่4ทราบนัดของศาลแล้ว

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระราคาสินค้าที่ซื้อไปจากโจทก์ กับขอให้เรียกนางรัตนา ตระกูลเดชะและนายใจฮ้อ แซ่แต้ เข้ามาร่วมรับผิดเป็นจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 182,892 บาท พร้อมดอกเบี้ย สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4
โจทก์ทั้งสองยื่นคำแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ทนายจำเลยที่ 3และที่ 4 ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่แห่งใหม่ก่อนที่เจ้าพนักงานของศาลจะนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปปิด ณ ที่สำนักงานเดิมทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยื่นฎีกาได้ แล้วมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยื่นฎีกา
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องและสั่งรับฎีกา ถือได้ว่าเป็นคำสั่งรับฎีการวมอยู่ด้วยกัน โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัย พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองใหม่
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การส่งหมายนัดฟังคำศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์โดยปิดไว้ ณ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 3และที่ 4 แต่ปรากฏว่าทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ย้ายไปอยู่ที่สำนักงานแห่งใหม่ ทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ทราบการส่งหมายและมิได้มีการส่งหมายนัดแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยตรง การส่งหมายนัดไม่มีผล คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 3และที่ 4 ยื่นฎีกาชอบแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 16 สิงหาคม 2533 พนักงานเดินหมายกรมบังคับคดีส่งหมาย ณ สำนักงานเดิมของทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2533 เพราะสำนักงานปิดประตูใส่กุญแจไว้และในวันนัดดังกล่าวข้างต้นคงมีแต่เสมียนทนายโจทก์มาศาล ฝ่ายจำเลยทั้งสี่ไม่มีใครมาศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันดังกล่าว ครั้นวันที่ 31ตุลาคม 2533 จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาเห็นว่า แม้การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อาจส่งให้แก่ทนายความที่คู่ความแต่งตั้งให้ว่าคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 75 ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานเดินหมายนำหมายนัดไปส่งที่สำนักทำการงานของทนายจำเลยที่ 3 และที่4 แล้ว แต่ไม่พบตัวทนายความ และไม่พบตัวทนายความและไม่มีผู้ใดรับหมายไว้แทน โดยปรากฏว่าสำนักงานถูกปิดไว้และใส่กุญแจ พนักงานเดินหมายจึงปิดหมายนัดไว้ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ทั้งปรากฏว่าสำนักทำการงานที่ทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4ทำงานอยู่นั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นนานแล้วก่อนพนักงานเดินหมายนำหมายนัดไปปิดไว้ เช่นนี้จึงฟังไม่ได้ว่าได้ส่งหมายนัด ณสำนักทำการงานของทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีการส่งหมายนัดแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยตรงแต่อย่างใดการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงยังไม่ชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3และที่ 4 ทราบนัดของศาลแล้ว การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยื่นฎีกาได้และมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share