แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่ารถยนต์นั่งสองแถวส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียนม-3837สมุทรสาคร ส. เป็นผู้ขับ พ. กับ ด.เป็นผู้โดยสารแต่ตามเอกสารประกอบท้ายฟ้องซึ่งเป็นรายงานการชันสูตรพลิกศพระบุว่า พ. เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ส. กับ ด.นั่งมาในรถนั้นแม้ชื่อผู้ขับจะไม่ตรงกับที่ปรากฏในรายงานการชันสูตรพลิกศพแต่โจทก์ก็ได้ระบุลักษณะและหมายเลขทะเบียนรถไว้แล้วถือได้ว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนใครจะเป็นผู้ขับขี่ที่แท้จริงโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงโดยประมาทน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไม่ขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถดังนั้นไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามที่โจทก์นำสืบหรือตามที่จำเลยนำสืบก็ยังได้ชื่อว่าจำเลยมีส่วนประมาทอยู่นั่นเอง เมื่อเปรียบเทียบร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถยนต์ทั้งสามคันแสดงให้เห็นว่ารถ ส. ชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นอย่างแรงแล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนักทั้งปรากฏว่ามีรอยเบรกรถจำเลยยาวถึง12เมตรแสดงว่าขณะรถจำเลยชนท้ายรถ ส.น่าจะเป็นเพียงการลื่นไถลหลังจากที่จำเลยใช้ห้ามล้อยาวถึง12เมตรแล้วแรงชนจากรถจำเลยจึงไม่มากนักมีผลเพียงทำให้ ก. และ ท.ซึ่งนั่งอยู่หน้ารถจำเลยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยดังนั้นการที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก.และ ท. กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเช่นนี้แม้จำเลยจะมิได้ขับรถมาชนท้ายรถ ส. ผู้ตายทั้งสองก็ถึงแก่ความตายเนื่องจากรถ ส. ชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นอยู่นั่นเองย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายคงมีความผิดเพียงฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ก. และ ท. ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,390 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 43, 157
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่าง พิจารณา นาย เจริญ พรเจริญ บิดา ของ นาย พงษ์ศักดิ์ พรเจริญ ผู้ตาย ยื่น คำร้องขอ เข้าร่วม เป็น โจทก์
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 ให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 (ที่ ถูกต้องมาตรา 291), 90 ซึ่ง เป็น บทหนัก จำคุก 4 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ซึ่ง ลงชื่อ ใน คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์อนุญาต ให้ ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “คง มี ปัญหา วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลยใน ข้อ แรก ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม หรือไม่ โดย จำเลย อ้างว่า โจทก์บรรยายฟ้อง ว่า รถยนต์ นั่ง สอง แถว ส่วนบุคคล หมายเลข ทะเบียนม-3837 สมุทรสาคร นาย สมหวัง พรเจริญ เป็น ผู้ขับ นาย พงษ์ศักดิ์ กับ เด็ก ชาย สัมพันธ์ เป็น ผู้โดยสาร แต่ ตาม เอกสาร ประกอบ ท้ายฟ้อง ของ โจทก์ หมายเลข 1 และ หมายเลข 2 ซึ่ง เป็น รายงาน การ ชันสูตรพลิก ศพ ระบุ ว่า นาย พงษ์ศักดิ์ เป็น ผู้ขับ รถยนต์ คัน ดังกล่าว นาย สมหวัง กับ เด็ก ชาย สัมพันธ์ นั่ง มา ใน รถ เป็น การขัดกัน ทำให้ จำเลย หลงต่อสู้ ว่า ใคร คือ ผู้ขับขี่ ที่ แท้จริง นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้อง ว่า จำเลย ขับ รถ ด้วย ความ เร็ว สูง มาก โดยประมาท น่า หวาดเสียวจำเลย เห็น อยู่ แล้ว ว่า ข้างหน้า จำเลย มี รถยนต์ นั่ง สอง แถว ส่วนบุคคลคัน หมายเลข ทะเบียน ม-3837 สมุทรสาคร ซึ่ง นาย สมหวัง เป็น ผู้ขับ แม้ ชื่อ ผู้ขับ จะ ไม่ ตรง กับ ที่ ปรากฏ ใน รายงาน การ ชันสูตรพลิกศพ แต่โจทก์ ก็ ได้ ระบุ ลักษณะ และ หมายเลข ทะเบียน รถ ไว้ แล้ว ถือได้ว่า มีรายละเอียด เกี่ยวกับ บุคคล หรือ สิ่งของ ที่ เกี่ยวข้อง ด้วย พอสมควรเท่าที่ จะ ให้ จำเลย เข้าใจ ข้อหา ได้ ดี แล้ว ส่วน ใคร จะ เป็น ผู้ขับขี่ที่ แท้จริง โจทก์ อาจ นำสืบ ได้ ใน ชั้นพิจารณา จึง ไม่เป็น ฟ้องเคลือบคลุมฎีกา จำเลย ใน ข้อ นี้ ฟังไม่ขึ้น
ปัญหา ต่อไป ตาม ฎีกา ของ จำเลย มี ว่า เหตุ รถ ชนกัน ดังกล่าว เป็นเพราะ ความประมาท ของ จำเลย หรือไม่ แสดง ว่า จำเลย ขับ รถ มา ด้วยความ เร็ว สูง โดยประมาท หรือ น่า หวาดเสียว อัน อาจ เกิด อันตราย แก่ บุคคลหรือ ทรัพย์สิน ไม่ ขับ รถ ให้ ห่าง รถ คัน หน้า พอสมควร ใน ระยะ ที่ จะ หยุด รถได้ โดย ปลอดภัย ใน เมื่อ จำเป็น ต้อง หยุด รถ ดังนั้น รถ จำเลย จะ ชน ท้ายรถนาย สมหวัง ก่อน แล้ว รถ นาย สมหวัง ไป ชน รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น ดัง ที่ โจทก์ นำสืบ หรือ รถ นาย สมหวัง ชน รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น ก่อน แล้ว ถูก รถ จำเลย ชน ซ้ำ ดัง ที่ จำเลย นำสืบ ก็ ยัง ได้ ชื่อ ว่า จำเลย มี ส่วนประมาท อยู่ นั่นเอง ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ต่อไป จึง มี ว่า ความตาย ของผู้ตาย ทั้ง สอง เป็น ผล โดยตรง จาก การกระทำ โดยประมาท ของ จำเลย หรือไม่ปรากฏ ตาม ภาพถ่าย และ บันทึก ผล การ ตรวจ สภาพ รถ ที่เกิดเหตุ เอกสาร หมายจ. 2 ถึง จ. 4 และ จ. 5, จ. 6 ว่า รถ นาย สมหวัง กันชน หน้าด้าน ขวา ตัวถัง หน้าด้าน ขวา บุบ ยุบ ฝา ครอบ เครื่อง บุบ ยุบ ฉีก พับ ที่ ตอน กลางกระ จัง หน้า แตก หลุด ออก เสา เก๋ง หน้า รถ ด้านขวา มี รอย ครูด แต่ ตอนท้าย รถได้รับ ความเสียหาย ไม่มาก ส่วน รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น เหล็ก บังโคลนล้อ หลัง ด้านซ้าย หลุด ออก เพลา ข้าง ล้อ หลัง ด้านซ้าย โย้ไป ข้างหน้ากะ ทะล้อ หลัง คด แหนบล้อ หลัง ด้านซ้าย บิด ทำให้ รถ วิ่ง ไม่ได้ สำหรับรถ จำเลย กันชน หน้า ตอน กลาง ยุบ พับ ติด แผง ระบาย ความร้อน เครื่องปรับอากาศตัวถัง หน้า และ ฝา ครอบ เครื่อง บุบ ยุบ ดังนี้ เมื่อ เปรียบเทียบ ร่องรอยความเสียหาย ที่ เกิด แก่ รถยนต์ ทั้ง สาม คัน ดังกล่าว จะ เห็น ได้ว่าส่วน หน้า รถยนต์ นาย สมหวัง และ ส่วน ท้าย ของ รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น มี ความเสียหาย รุนแรง มาก กว่า รถ จำเลย มาก เพราะ รถ จำเลย เสียหายเพียง เฉพาะ กันชน หน้า และ บริเวณ ตัวถัง ด้านหน้า เพียง เล็กน้อย ซึ่งก็ สอดคล้อง กับ ความเสียหาย ของ รถ นาย สมหวัง ตอนท้าย ที่ ได้รับ ความเสียหาย เนื่องจาก การ ถูก รถ จำเลย ชน ท้าย ไม่มาก นัก แสดง ให้ เห็นว่ารถ นาย สมหวัง ชน ท้ายรถ ยนต์บรรทุก ห้องเย็น อย่าง แรง แล้ว จึง ถูก รถ จำเลย ชน ท้าย ไม่ รุนแรง นัก เพราะ นอกจาก ด้านหน้า รถ จำเลย และ ท้ายรถนาย สมหวัง เสียหาย ไม่มาก แล้ว ยัง ปรากฏ ด้วย ว่า นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม ที่นั่ง โดยสาร มา กับ รถ จำเลย ใน ที่นั่ง ตอน หน้า ได้รับ บาดเจ็บ แต่เพียง เล็กน้อย ทั้ง ปรากฏว่า มี รอย เบรก รถ จำเลย ยาว ถึง 12 เมตรแสดง ว่า ขณะ รถ จำเลย ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง น่า จะ เป็น เพียง การ ลื่น ไถลหลังจาก ที่ จำเลย ใช้ ห้ามล้อ ยาว ถึง 12 เมตร แล้ว แรง ชน จาก รถ จำเลยจึง ไม่มาก นัก ดัง จะ เห็น ได้ว่า มีผล เพียง ทำให้ นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม ซึ่ง นั่ง อยู่ หน้า รถ จำเลย ได้รับ บาดเจ็บ เพียง เล็กน้อย ดังนั้น การ ที่ ผู้ตาย ทั้ง สอง ซึ่ง นั่ง อยู่ หน้า รถ นาย สมหวัง อยู่ ห่างไกล จุด ชน มาก กว่า นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม กลับ ได้รับ อันตราย ถึงแก่ความตาย เช่นนี้ ย่อม แสดง ว่าความ ตาย ของ ผู้ตาย ทั้ง สอง มิใช่ เป็น ผล โดยตรงจาก การ ที่ จำเลย ขับ รถ ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง แต่ น่า จะ เป็น ผล โดยตรง มาจาก การ ที่นาย สมหวัง ขับ รถ ชน ท้ายรถ ยนต์บรรทุก ห้องเย็น มาก กว่า กล่าว คือ แม้ จำเลย จะ มิได้ ขับ รถ มา ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง ผู้ตาย ทั้ง สอง ก็ ถึงแก่ความตาย เนื่องจาก รถ นาย สมหวัง ชน ท้ายรถ ยนต์บรรทุก ห้องเย็น อยู่ นั่นเอง ความตาย ของ ผู้ตาย ทั้ง สอง จึง มิใช่ เป็น ผล โดยตรง มาจากการกระทำ โดยประมาท ของ จำเลย จำเลย จึง ไม่มี ความผิด ฐาน กระทำโดยประมาท เป็นเหตุ ให้ ผู้ตาย ทั้ง สอง ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำเลย คง มี ความผิด เพียง ฐานขับ รถ ประมาท เป็นเหตุ ให้ นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม ได้รับ อันตราย แก่ กาย เท่านั้น ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ด้วย นั้น ศาลฎีกา ไม่เห็น พ้อง ด้วยฎีกา จำเลย ฟังขึ้น บางส่วน ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157แต่ เป็น การกระทำ อันเป็น กรรมเดียว กัน เป็น ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายบทให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 อันเป็น กฎหมาย บทที่ มีโทษหนัก ที่สุด ตาม มาตรา 90 ให้ ปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระ ค่าปรับให้ จัดการ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วน ข้อหาตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ให้ยก ฟ้อง