คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ถือหนังสือเดินทางที่พนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกงออกให้ ระบุว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติจีน เมื่อโจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเพื่อขออยู่ชั่วคราวกองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาต แต่ก่อนถึงวันครบกำหนด โจทก์ก็ยื่นฟ้องกรมตำรวจกับหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิด ขอให้จำเลยระงับคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย ทั้งนี้ โดยโจทก์ให้เหตุผลว่ากลัวจะถูกส่งออกนอกประเทศไทยเมื่อครบกำหนดวันที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วทางจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะอยู่ในประเทศไทยและโจทก์ไม่มีหลักฐานใดแสดงว่าก่อนยื่นฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เคยร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นคนไทย ไม่ได้ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ โจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิด เมื่อ พ.ศ. 2492 มารดาพาไปยังประเทศจีน ครั้นโตขึ้นอยากกลับประเทศไทย ได้ไปติดต่อกับสถานกงสุลไทย ณ เมืองฮ่องกงขอเดินทางกลับในฐานะคนไทยแต่ทางกงสุลไทยไม่ยอมรับเรื่องราวโจทก์จึงปลอมแปลงเป็นคนจีนขอหนังสือเดินทางชั่วคราวจากทางราชการเมืองฮ่องกง เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน2502 ครั้นมาถึงก็ถูกกองตรวจคนเข้าเมืองกำหนดให้อยู่ในประเทศไทยได้ภายในวันที่ 8 กรกฎาคม 2502 โจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิดมีความประสงค์จะอยู่ในประเทศไทย แต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่และได้กำหนดให้โจทก์ออกไปภายในวันที่ 8 กรกฎาคม 2502 คำสั่งของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยระงับคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทยและให้แสดงว่าโจทก์มีสัญชาติเป็นคนไทย มีสิทธิที่จะอยู่อาศัยในประเทศไทย

จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติจีนและเกิดที่ประเทศจีนได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรไทยและอยู่ได้จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2502 การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยต่อศาลเช่นนี้ไม่ชอบเพราะจำเลยหรือพนักงานเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้สั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย กำหนดที่โจทก์จะออกจากประเทศไทยเกิดจากคำร้องของโจทก์เอง ถือได้ว่าไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แต่อย่างใด

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกงได้ออกหนังสือเดินทางชนิดที่เรียกว่าเซอติฟิเกตออฟไอเด็นติตี้ ระบุว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติจีน เมื่อโจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเพื่อขออยู่ชั่วคราว กองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาตให้อยู่ได้ถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2502 ครั้นครบกำหนดโจทก์ร้องขออยู่ต่อกองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาตให้อยู่ได้อีก 15 วัน จะครบในวันที่ 8 กรกฎาคม 2502 แต่วันที่ 29 มิถุนายน 2502 โจทก์ก็ฟ้องจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยออกจากประเทศไทย ทั้งนี้โดยให้เหตุผลว่ากลัวจะถูกส่งออกนอกประเทศไทยเมื่อครบกำหนดซึ่งแท้จริงแล้วจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะอยู่ในประเทศไทย และโจทก์ก็ไม่มีหลักฐานใดแสดงว่าได้เคยร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นคนไทยก่อนยื่นฟ้องคดีนี้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43 โจทก์ชอบที่จะยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติแต่โจทก์ไม่ทำ กลับมายื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นการก้าวล่วงวิธีการโจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลได้ พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share