คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป.น.และส.มิได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ขายในสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขและไม่มีหลักฐานว่าได้มอบอำนาจ ให้จำเลยเป็นผู้ขายหุ้นของตนหรือ บริษัทก. เป็นผู้ขายหุ้นของป.น.และส.ถือไม่ได้ว่าป.น.และส. ได้ขายหุ้นของตนให้แก่โจทก์ สัญญาขายหุ้นจึงไม่มีผลผูกพัน ป.น. และส.โจทก์ไม่มีตราสารการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นที่ป.น. และส. โอนให้แก่โจทก์เป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้โอน กับผู้รับโอนและมีพยานคนหนึ่งเป็น อย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือชื่อนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง มาแสดง ถือไม่ได้ว่าหุ้นของป.น.และส.ได้โอนไปยังโจทก์แล้วป.น.และส. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทก. สัญญาขายหุ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข ซึ่งมีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า “อนึ่ง ในวันทำสัญญานี้ผู้ขาย ได้ทำตราสารการโอนหุ้นมีผลเป็นการโอนหุ้นที่ตกลงซื้อตาม ข้อ 1 เสร็จ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้นายว. เก็บรักษาไว้จนกว่าผู้ซื้อจะดำเนินการตามสัญญาเสร็จ” ถือไม่ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นแบบตราสารการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นที่เป็นหนังสือโดยลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนและมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือชื่อ นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสองเพราะข้อความดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไข ทั้งสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขก็มิใช่แบบตราสาร การโอนหุ้นตามมาตรา 1129 วรรคสอง ป.น.และส.จึงยังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการบริษัทกรุ๊ป จำกัด ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ต่อกรมจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนกับหุ้นส่วนบริษัทตามกฎหมายขอให้บังคับจำเลยทั้งสามดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนตามคำขอที่ 6485/2536 (ที่ถูกเป็นคำขอที่ 4 6485/2536) และเพิกถอนการจดทะเบียนดวงตราใหม่ของบริษัทดังกล่าว หากจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2535 จำเลยที่ 1 โดยนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครได้ออกหนังสือรับรองว่า บริษัทกรุ๊ป จำกัด มีกรรมการ 3 คน คือโจทก์ทั้งสองและนายวินัย ลีลาบุญเปี่ยม โจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทมีผลผูกพันบริษัทได้ บริษัทสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 2 ซอยเจริญนคร 24 ถนนเจริญนครแขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.15 โดยมีชื่อผู้ถือหุ้นรวม 8 ราย ตามสำเนาสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเอกสารหมาย ล.16 ต่อมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ถือหุ้นได้ทำสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขกับโจทก์ทั้งสอง โดยขายหุ้นของนายประสิทธิ์ คูวัธนไพศาล นางน้ำฝน จำนงค์ศิลป์ นายสัญญา แจ่มศรี จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขาย โจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อสัญญาดังกล่าวมิได้ลงวันเดือนปีที่ทำไว้ ตามสำเนาสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขเอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.37 วันที่ 17 ธันวาคม 2535 นายประสิทธิ์ นางน้ำฝน นายสัญญา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งห้าซึ่งมีชื่อในสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขตามเอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.37 ได้มีหนังสือถึงโจทก์ทั้งสองขอให้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเรื่องการย้ายสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ของบริษัท เรื่องกรรมการที่ออกและกรรมการที่เข้าใหม่ เรื่องอำนาจของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนและลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทและเรื่องอื่น ๆ ตามสำเนาคำร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นและสำเนาใบไปรษณีย์ตอบรับเอกสารหมาย ล.2แผ่นที่ 1 และที่ 2 โจทก์ทั้งสองได้รับหนังสือแล้วไม่จัดประชุมให้ตามขอ ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งห้าดังกล่าวได้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2536 และได้มีหนังสือลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536 ขอเชิญโจทก์ทั้งสองไปร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2536 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2536 เวลา 10.30 นาฬิกา ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 4และล.3 ต่อมาบริษัทกรุ๊ป จำกัด ได้ประชุมตามวันเวลาที่ได้เชิญโจทก์ทั้งสองไปร่วมประชุมดังกล่าว โดยมีผู้ถือหุ้นเดิมทั้งห้าและบริษัทตรีกรุ๊ป จำกัด ผู้ถือหุ้นเข้าประชุม ส่วนโจทก์ทั้งสอง มิได้เข้าประชุม ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติให้บริษัทย้ายสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่เดิมไปตั้งที่อาคารเลขที่ 133/47 ถนนราชปรารภ แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานครอนุมัติให้นายวินัยออกจากการเป็นกรรมการบริษัทและให้โจทก์ที่ 1 พ้นจากการเป็นกรรมการบริษัท แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการบริษัท และให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือโจทก์ที่ 2 ประทับตราของบริษัทมีอำนาจกระทำการแทนและลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทได้ ตามสำเนารายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2536 เอกสารหมาย ล.4 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในนามบริษัทกรุ๊ป จำกัด ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายวิเชียร วรรธกวรกุล เป็นผู้ขอยื่นจดทะเบียนกรรมการเข้า-ออก อำนาจกรรมการ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทกรุ๊ป จำกัด ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครของกรมจำเลยที่ 1 ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.6 และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2536 นายวิเชียรได้ยื่นคำขอที่ 4 6485/2536 ขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดโดยขอแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการเข้า-ออก อำนาจกรรมการ และที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทกรุ๊ป จำกัด ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดเอกสารหมาย ล.5 ต่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบถึงเรื่องการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.35 และ ล.36 โจทก์ทั้งสองได้มีหนังสือคัดค้านต่อนายทะเบียนของจำเลยที่ 1 ว่า บุคคลผู้จัดประชุมผู้ถือหุ้นขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทโดยได้ขายโอนหุ้นให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว และโจทก์ทั้งสองไม่เคยทำหนังสือโอนหุ้นกลับไปให้แก่บุคคลผู้ดำเนินการประชุมผู้ถือหุ้นที่มาขอจดทะเบียนจึงไม่มีผลเกี่ยวข้องกับบริษัทกรุ๊ป จำกัดตามสำเนาหนังสือพร้อมสำเนาสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขเอกสารหมาย จ.37 เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 พิจารณาแล้วเห็นว่ามติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2536 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2536 เป็นการประชุมที่ชอบด้วยกฎหมายจึงรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมตามคำขอที่ 4 6485/2536 ของบริษัทกรุ๊ป จำกัด ดังกล่าว พร้อมทั้งรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมตราของบริษัทใหม่ตามสำเนาคำสั่งการนายทะเบียนเอกสารหมาย ล.41
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่าการที่จำเลยที่ 1 รับจดทะเบียนบริษัทจำกัดแก้ไขเพิ่มเติมตามคำขอที่ 4 6485/2536 ของบริษัทกรุ๊ป จำกัด นั้นเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าตามสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขได้มีการทำตราสารการโอนหุ้นไปแล้วตามสัญญาข้อ 4 วรรคสอง ผู้ขายขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้นโดยผลของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 แม้โจทก์ผิดเงื่อนไข หุ้นดังกล่าวก็ไม่โอนกลับมาเป็นของผู้ขายหุ้นดังนั้นผู้ขายจะไปประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทกี่ครั้งก็ไม่เป็นมติของผู้ถือหุ้นย่อมนำไปจดทะเบียนไม่ได้ การที่จำเลยที่ 1 รับจดทะเบียนตามคำขอที่ 4 6485/2536 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า สัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขตามสำเนาสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขเอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.37 นั้นปรากฏว่านายประสิทธิ์ คูวัธนไพศาล นางน้ำฝน จำนงค์ศิลป์ และนายสัญญา แจ่มศรี มิได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ขาย ทั้งไม่มีหลักฐานว่านายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญาได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขายหุ้นของตนหรือบริษัทกรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ขายหุ้นของนายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญาแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่านายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญาได้ขายหุ้นของตนให้แก่โจทก์ทั้งสองสัญญาขายหุ้นดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันนายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญา ทั้งโจทก์ทั้งสองไม่มีตราสารการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นที่นายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญา โอนให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นหนังสือโดยลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนและมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือชื่อนั้นตามแบบดังระบุไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง มาแสดง จึงถือไม่ได้ว่าหุ้นของ นายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญาได้โอนไปยังโจทก์ทั้งสองแล้ว นายประสิทธิ์ นางน้ำฝน และนายสัญญาจึงยังคงเป็นผู้ถือหุ้น บริษัทกรุ๊ป จำกัด ส่วนสัญญาขายหุ้นระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 แม้จะสมบูรณ์และมีผลผูกพันตามสัญญาแต่เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.37 ข้อ 2 และข้อ 3 ว่า ภายหลังจากทำสัญญาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ขายกับโจทก์ผู้ซื้อจะดำเนินการจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อพิจารณาและมีมติเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งพิจารณาและมีมติให้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปเป็นสถานที่ที่ผู้ซื้อกำหนดและเสนอต่อที่ประชุมแล้วผู้ซื้อและหรือบริษัทต้องดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนของบริษัทให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าว และในข้อ 6 ระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อและหรือบริษัทไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ภายในกำหนด 180 วัน นับแต่วันทำสัญญาคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้สัญญาฉบับนี้ เป็นอันยกเลิกและให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และสัญญาดังกล่าวเอกสารหมาย จ.3 ว่า สัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขดังกล่าวได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2534 เมื่อนับจนถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2535 อันเป็นวันที่นายประสิทธิ์ นางน้ำฝน นายสัญญา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ขอให้โจทก์ทั้งสองเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทกรุ๊ป จำกัด ปรากฏว่าเกินกำหนดเวลา 180 วัน นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์ทั้งสองก็ยังมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 6 โดยไม่ร่วมกับผู้ขายหุ้นทั้งห้าดังกล่าวเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทตามสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไข สัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขย่อมยกเลิกไปตามข้อ 6 แห่งสัญญาดังกล่าว โจทก์ทั้งสองจะอ้างสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขว่าหุ้นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้โอนเป็นของโจทก์ทั้งสองโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้นแล้วไม่ได้ แม้ตามข้อ 4 วรรคสอง แห่งสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขดังกล่าวจะระบุว่า “อนึ่ง ในวันทำสัญญานี้ผู้ขายได้ทำตราสารการโอนหุ้นมีผลเป็นการโอนหุ้นที่ตกลงซื้อตามข้อ 1 เสร็จโดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้นายวันจันทร์ คิวบุณยวงค์ เก็บรักษาไว้จนกว่าผู้ซื้อจะดำเนินการตามสัญญาเสร็จ” ก็ตามก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความดังกล่าวนั้นเป็นแบบตราสารการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นที่เป็นหนังสือโดยลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนและมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือชื่อนั้นตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1129 วรรคสอง เพราะข้อความดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขทั้งสัญญาขายหุ้นโดยมีเงื่อนไขก็มิใช่แบบตราสารการโอนหุ้นตามมาตรา 1129 วรรคสอง นอกจากนั้นโจทก์ทั้งสองไม่มีตราสารการโอนหุ้นที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนให้แก่โจทก์ทั้งสองตามแบบที่ระบุไว้ในมาตรา 1129 วรรคสอง มาแสดง พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองย่อมรับฟังไม่ได้ว่าหุ้นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้มีหลักฐานการโอนให้โจทก์ทั้งสองแน่นอนแล้ว ดังนั้นนายประสิทธิ์ นางน้ำฝน นายสัญญา จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทกรุ๊ป จำกัด อยู่ การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทกรุ๊ป จำกัด ครั้งที่ 1/2536 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2536 ที่เรียกประชุมโดยผู้ถือหุ้นทั้งห้าดังกล่าวและการที่จำเลยที่ 1 รับจดทะเบียนบริษัทจำกัดแก้ไขเพิ่มเติมตามมติที่ประชุมดังกล่าวตามคำขอที่ 4 6485/2536 จึงหาใช่การประชุมและการรับจดทะเบียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังเหตุที่โจทก์ทั้งสองฎีกาไม่
โจทก์ทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4 6485/2536 ตามเอกสารหมาย ล.5 มิได้ประทับตราใหม่ของบริษัท การรับจดทะเบียนตามคำขอดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้แม้โจทก์จะมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงส่วนนี้ไว้ในคำฟ้องโดยตรง แต่คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าเอกสารใดที่จำเลยที่ 2 จัดทำขึ้นไม่ใช่เอกสารตามกฎหมายที่จะอ้างว่าเป็นของบริษัทกรุ๊ป จำกัด ซึ่งจะนำมาจดทะเบียนได้ ข้อเท็จจริงที่คำขอที่ 4 6485/2536 มิได้ประทับตราของบริษัทจึงถือได้ว่าโจทก์ได้กล่าวมาในคำฟ้องแล้วโดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายข้อเท็จจริงส่วนนี้ไว้ในคำฟ้องเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อนี้ว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์ทั้งสองมิได้กล่าวมาในคำฟ้องจึงเป็นข้อที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์นอกฟ้องนอกประเด็นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า ปัญหานี้โจทก์ทั้งสองมิได้นำสืบว่าตรา บริษัท ที่ได้ประทับในคำขอที่ 4 6485/2536 เป็นตราใหม่ของบริษัทหรือไม่ และตราที่ประทับนั้นเป็นตราของบริษัทหรือไม่โจทก์ที่ 1 ได้ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าดวงตราสำคัญของบริษัทโจทก์ทั้งสองไม่ทราบว่าฝ่ายผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทกรุ๊ป จำกัด จะได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหรือไม่เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 มีนางรัตนาวดี ขวัญวารีย์เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า 5 กรมจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าดวงตราที่ประทับในคำขอผิด ตามเอกสารตรวจเอกสารจดทะเบียนในเบื้องต้นหมาย ล.34 สำหรับคำขอรายนี้ได้มีการแก้ไขดวงตราใหม่ภายในกำหนดเวลา แม้นายวิรัช ประสิทธิทันธ์ หัวหน้าฝ่ายจดทะเบียนกรมจำเลยที่ 1 จะเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่าตามคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดเอกสารหมาย ล.5 ไม่มีการขีดฆ่าดวงตราที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และไม่ได้มีการประทับตราใหม่เข้ามา แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายวิรัชตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขอจดทะเบียนตราใหม่ตามรายการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย ล.41 แผ่นที่ 3 ซึ่งเมื่อได้พิจารณาจากตราของบริษัทที่จดทะเบียนใหม่ตามรายการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย ล.41 แผ่นที่ 3 แล้ว ตราที่จดทะเบียนใหม่ของบริษัทเป็นตราเดียวกันกับตราที่ได้ประทับไว้ในคำขอที่ 4 6485/2536 นั่นเอง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้จัดการให้บริษัทกรุ๊ป จำกัด แก้ไขตราที่ประทับให้ถูกต้องตามกำหนดเวลาแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าคำขอที่ 4 6485/2536 มิได้ประทับตราใหม่ของบริษัทจึงฟังไม่ขึ้น คำขอที่ 4 6485/2536 มีตราใหม่ของบริษัทกรุ๊ป จำกัด แล้ว ดังนั้น การที่นายทะเบียนของจำเลยที่ 1รับจดทะเบียนตามคำขอที่ 4 6485/2536 ของบริษัทกรุ๊ป จำกัด นั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่อาจขอให้เพิกถอนได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share