แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ถึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ต้องถือว่า โจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมีบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะและศาลจะต้องมีคำสั่งในการที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 42 และ 44 ก่อนการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีไปโดยที่ยังมิได้ดำเนินการดังกล่าวนั้นเป็นการมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247 เป็นการไม่ชอบ
การที่โจทก์ถึงแก่ความตายขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ กรณีมิใช่เรื่องที่โจทก์ถึงแก่ความตายระหว่างรอยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายบุญมี เคนคำ ฟ้องคดีแทน โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ 82 ตารางวา โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลานาน 60 ปีปี 2504 จำเลยที่ 1 โดยทุจริตลักลอบแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอออกใบจอง (น.ส.2) ทับที่ดินโจทก์ ปี 2516 จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินในนามของจำเลยที่ 1 ทับที่ดินโจทก์ โดยให้ถ้อยคำเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดิน เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกโฉนดที่ดินเลขที่ 1863 ให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 3 ขอให้พิพากษาว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 1863 เป็นโฉนดที่ดินซึ่งออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันไปจดทะเบียนเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า การมอบอำนาจให้นายบุญมีฟ้องคดีแทนไม่สมบูรณ์เนื่องจากโจทก์เป็นบุคคลไร้ความสามารถจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกือบ 30 ปี โจทก์ไม่ยื่นฟ้องเรียกเอาคืนเกินกำหนด 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอมจำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นาวาอากาศเอกปัญญาเสียงเจริญ ทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ถึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องถือว่า โจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในกรณีที่โจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างอุทธรณ์นั้น คดีจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมีบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะและศาลจะต้องมีคำสั่งในการที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนตามนัยมาตรา 42และ 44 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก่อนการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีไปโดยที่ยังมิได้ดำเนินการดังกล่าวนั้นเป็นการมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247 เป็นการไม่ชอบและการที่โจทก์ถึงแก่ความตายขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ กรณีมิใช่เรื่องที่โจทก์ถึงแก่ความตายระหว่างรอยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องก่อน คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 กับยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเรื่องการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์และทำการไต่สวนแล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งและคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี และให้ยกฎีกาของโจทก์