แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออก น.ส. 3 ก. เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออก น.ส. 3 ก. ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออก น.ส. 3 ก. สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอน น.ส. 3 ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต กับนางตุ่น ไชยชิตต่อมานายสวนถึงแก่กรรม ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ในขณะมีชีวิตอยู่นายสวนมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันกับนางตุ่นหลายรายการ รวมทั้งที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 60 ตำบลบ้านโต้น อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายสวนต่อมาโจทก์ไปติดต่อที่สำนักงานที่ดินจึงทราบว่าจำเลยแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนายสวน ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลย ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4609 ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวมาเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดก พร้อมทั้งส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4609 ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายสวน นายสวนขายที่พิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ ให้จำเลย บิดาและมารดาจำเลยยกที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่เศษ ซึ่งอยู่ติดกันให้แก่จำเลย จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงนี้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกินกว่า 30 ปี แล้วจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในฐานะเจ้าของที่ดิน เจ้าหน้าที่ได้ทำการรังวัดตรวจสอบ ประกาศถูกต้องแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้านจึงได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสนอง วิลาวัน ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 4609 เล่ม 47 ก. หน้า 9 เลขที่ดิน 157 ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืนจังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 86 ตารางวา เป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต ให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตร ส่วนจำเลยเป็นบุตรเขยของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต กับนางตุ่น ไชยชิตนายสวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2527 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2536 ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4609 เล่ม 47 ก. หน้า 9 เลขที่ดิน 157ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 86 ตารางวาซึ่งออก ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2536 มีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสวนหรือไม่โจทก์มีตัวโจทก์ นางตุ่น นายทองม้วน มีสา ผู้ใหญ่บ้านบ้านหินกองซึ่งที่พิพาทตั้งอยู่นายสี โพธิ์พรม ราษฎรบ้านหินกอง และนายบุญช่วย ภูถนนนอก บุตรโจทก์เบิกความยืนยันว่า ที่พิพาทเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ที่จำเลยนำไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นที่ดินที่นายสวนแจ้งการครอบครองไว้ ตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เอกสารหมาย จ.4 นายสวนกับนางตุ่นครอบครองที่พิพาทโดยปลูกต้นมะม่วง ต้นหม่อน และล้อมรั้วเป็นแนวเขตไว้ เมื่อนายสวนถึงแก่กรรมนางตุ่นก็ครอบครองที่พิพาทต่อมาจนถึงปี 2536 จึงย้ายไปอาศัยอยู่กับโจทก์ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น โจทก์เบิกความยืนยันว่า ไม่ทราบว่าจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาท ถ้าทราบโจทก์จะคัดค้าน คำเบิกความของโจทก์ในข้อนี้มีเหตุผลน่าเชื่อ เพราะได้ความจากโจทก์ว่า เมื่อโจทก์และนางตุ่นทราบว่าจำเลยนำรถไถเข้าไปไถต้นมะม่วงและต้นหม่อนในที่พิพาท โจทก์ก็ไปห้ามปรามจำเลย เมื่อจำเลยไม่ยอมหยุด โจทก์จึงแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ แต่จำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแสดง เจ้าพนักงานตำรวจจึงแจ้งให้โจทก์ฟ้องคดีเอาเอง พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลเชื่อมโยงกันให้มีน้ำหนักรับฟัง ที่จำเลยฎีกาว่า นางตุ่นเบิกความถึงอาณาเขตที่พิพาทด้านทิศเหนือผิดไป โดยเบิกความว่าจดที่ดินของนางบับ แต่เมื่อมีการรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ปรากฏว่าด้านทิศเหนือจดที่ดินนางคำมา ไทยหนู ก็ได้ความจากบันทึกถ้อยคำของนางคำมาในเอกสารการรังวัดขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 17 ว่านางคำมาอายุ 48 ปี เป็นบุตรของนายพิลากับนางบับ จึงเชื่อได้ว่านางคำมาครอบครองที่ดินด้านทิศเหนือของที่พิพาทต่อจากนางบับนั่นเอง คำเบิกความของนางตุ่นเกี่ยวกับอาณาเขตที่พิพาทจึงถูกต้องแล้ว พยานจำเลยที่นำสืบว่านายสวนขายที่ดินตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เอกสารหมาย จ.4 ให้แก่จำเลยเมื่อปี 2509 โดยอ้างนายทอง ชาญประเสริฐ นางทองใบ หนวดตีบ และนางทองมี โพธิ์พรม เป็นผู้รู้เห็นในขณะซื้อขายที่ดินนั้น นอกจากพยานทุกปากดังกล่าวเป็นญาติเกี่ยวข้องกับจำเลยมีน้ำหนักน้อยแล้วยังแตกต่างกับที่จำเลยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานในชั้นขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2536ตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 14 ที่อ้างว่าซื้อที่ดินจากนายสวน เมื่อ 16 ปี มาแล้ว ซึ่งตรงกับปี 2520 นายทอง นางทองใบ และนางทองมีเบิกความว่า ในวันซื้อขายที่ดินนายสวนมอบแบบแจ้งการครอบครองที่ดินให้จำเลย ส่วนจำเลยเบิกความว่า ก่อนถึงแก่กรรมนายสวนมอบแบบแจ้งการครอบครองที่ดินให้ แต่ในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยก็ไม่มีแบบแจ้งการครอบครองที่ดินไปแสดงเป็นหลักฐาน กลับต้องยื่นคำขอต่อนายอำเภอพระยืนตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 11 ขอถ่ายและให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับรองเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ นอกจากนี้จำเลยเบิกความรับว่า นายสวนปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาท เมื่อจำเลยแต่งงานกับนางบัวขาว ไชยชิต ก็เข้ามาปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาทติดกับบ้านของนายสวน นายทองพยานจำเลยเบิกความว่านายสวนยกที่นาเรียกว่านาแก่งกุดโคก เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ให้จำเลย จึงไม่มีเหตุผลให้เชื่อว่านายสวนจะขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ปลูกบ้านให้แก่จำเลยแล้วอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลย แต่กลับไปยกที่ดินแปลงอื่นซึ่งมีเนื้อที่มากกว่าให้จำเลย พยานจำเลยที่นำสืบว่านายสวนขายที่ดินให้แก่จำเลยจึงไม่มีน้ำหนักและเหตุผลให้น่าเชื่อส่วนที่จำเลยนำสืบว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของนายสวนมีเนื้อที่เพียง 2 ไร่1 งาน จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมกับที่ดินซึ่งนางบับมารดาจำเลยยกให้อีก 3 ไร่เศษนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ผู้รังวัดหรือเจ้าพนักงานผู้ทำการพิสูจน์การทำประโยชน์ถึงที่ดินส่วนที่มารดายกให้ทั้งที่อ้างว่ามีเนื้อที่มากกว่า จำเลยคงนำรังวัดเฉพาะที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของนายสวนเท่านั้น เหตุที่เนื้อที่เพิ่มขึ้นนี้คงได้ความจากรายงานการรังวัดเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 6 ว่า เป็นการรังวัดได้เนื้อที่มากกว่าหลักฐานเดิมข้ออ้างของจำเลยที่ว่ามีที่ดินที่มารดาจำเลยยกให้รวมอยู่ด้วยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสวนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้นเห็นว่า จำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4609 เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 จึงเห็นสมควรให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4609 เล่ม 47 ก. หน้า 9 เลขที่ดิน 157ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1