คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 731/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) ศาลจะอ่านคำพิพากษาต่อหน้าคู่ความที่มาศาลเท่านั้น การที่คู่ความมาศาลหมายถึงการมาแสดงตัวต่อศาลโดยแถลงต่อศาลให้ทราบหรือแจ้งเจ้าพนักงานศาล เพื่อให้แจ้งให้ศาลทราบในห้องพิจารณา เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้วจึงจะอ่านคำพิพากษาต่อหน้ากันได้ ไม่ใช่ถึงเวลานัดศาลต้องอ่านคำพิพากษาทันทีโดยที่ยังไม่ทราบว่า มีคู่ความมาศาลหรือไม่ ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายมาฟังคำพิพากษาแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยแสดงตัวต่อศาลการที่ศาลอ่านคำพิพากษาให้เสมียนทนายโจทก์ฟัง ก็เป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบจำเลยแสดงตนเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว ศาลอาจให้จำเลยรับทราบการอ่านโดยไม่จำต้องอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังอีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 4432/2536 ของศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งแปดโอนขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5574 ตำบลขุนศรีอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 25 ไร่ ตามพื้นที่ที่เช่าทำนาอยู่เดิมในราคาไร่ละ 10,000 บาท หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งแปด

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องคัดค้านคำพิพากษาศาลฎีกาและขอทุเลาการบังคับไว้ก่อนจนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยคดีนี้ตามที่ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาไว้แล้ว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุตามกฎหมายให้ยื่นคำร้องได้ ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 2892/2540 ของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 25 สิงหาคม 2540 ว่านัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เสมียนทนายโจทก์ทั้งสองมาศาล จำเลยที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้เสมียนทนายโจทก์ทั้งสองฟัง โดยถือว่าจำเลยที่ 3 ทราบคำพิพากษาตามกฎหมายแล้ว และมีรายงานกระบวนพิจารณาต่อว่า หลังอ่านคำพิพากษาจำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 มาศาลจึงได้ให้รับทราบการอ่าน

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องลงวันที่ 2 กันยายน 2540 ว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ชอบ ขอให้แก้ไข

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นไปโดยชอบแล้วให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) หรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นออกหมายนัดให้มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 25 สิงหาคม2540 เวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 มารอฟังคำพิพากษาในห้องพิจารณาที่ 10 แต่ไม่มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คงมีแต่บันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาต่อซึ่งทำภายหลังที่จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 ลงลายมือชื่อในบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว และจำเลยที่ 3 ได้รับทราบเมื่อได้เห็นสำเนาในภายหลังเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2540 การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจึงมิใช่การอ่านตามหมายนัดของศาลในวันเวลาที่กำหนดมิได้อ่านต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใด เพราะมิได้อ่านต่อหน้าจำเลยที่ 3 ทั้งเสมียนทนายความโจทก์ทั้งสองมิใช่คู่ความ และมิได้อ่านข้อความทั้งหมดโดยเปิดเผย เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) บัญญัติว่า”การอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้อ่านข้อความทั้งหมดในศาลโดยเปิดเผยตามเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลจดลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือในรายงานซึ่งการอ่านนั้นและให้คู่ความที่มาศาลลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ” ดังนี้ เห็นได้ว่า ศาลจะอ่านคำพิพากษาต่อหน้าคู่ความที่มาศาลเท่านั้น การที่คู่ความมาศาลหมายถึงการมาแสดงตัวต่อศาล โดยแถลงต่อศาลให้ทราบหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานศาลเพื่อให้แจ้งให้ศาลทราบในห้องพิจารณา มิใช่มาศาลแล้วแต่ไปอยู่ที่อื่นหรือมิได้แถลงต่อศาลหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานศาลดังกล่าว เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้วจึงจะอ่านคำพิพากษาต่อหน้ากันได้ ไม่ใช่ถึงเวลานัดศาลต้องอ่านคำพิพากษาทันทีโดยที่ยังไม่ทราบว่ามีคู่ความมาศาลหรือไม่ มิฉะนั้นจะไม่อยู่ในความหมายของคำว่าศาลต้องอ่านคำพิพากษาต่อหน้าคู่ความที่มาศาลดังกล่าว ปรากฏในสำนวนว่าทนายความโจทก์ทั้งสองมอบฉันทะให้นายประสิทธิ์ คลังพหล เสมียนทนายมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาและลงลายมือชื่อทราบคำสั่งศาล เสมียนทนายย่อมถือว่าเป็นตัวแทนของทนายความโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นคู่ความในคดี โดยมีตราประทับของงานรับฟ้องของศาลชั้นต้นลงวันเวลาในใบมอบฉันทะว่า 25 สิงหาคม 2540 เวลา 13.55 นาฬิกา แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้แจ้งแสดงตัวต่อศาลแต่อย่างใดการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้เสมียนทนายความโจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อไว้เช่นนี้ แม้จะอ่านล่าช้าไปบ้างเล็กน้อยก็เป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบ เมื่ออ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 มาแสดงตนว่าเป็นคู่ความ ศาลชั้นต้นจึงให้จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 ลงลายมือชื่อรับทราบการอ่านอีกชั้นหนึ่งโดยให้ลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาต่อ กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นไม่จำต้องอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 ฟังอีกแต่อย่างใด เพราะได้มีการอ่านคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 ลงลายมือชื่อรับทราบการอ่านไว้นับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 3 แล้ว การที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าได้ลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาครั้งแรกส่วนรายงานกระบวนพิจารณาต่อไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้นั้นฟังไม่ได้ เพราะปรากฏในสำนวนว่าจำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอถ่ายสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนั้น ซึ่งมีตราประทับของงานเก็บสำนวนลงเวลาในคำร้องว่า 15 นาฬิกา แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้รับทราบแล้วว่ามีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ส่วนการที่จำเลยที่ 3 ได้ เห็นสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 28สิงหาคม 2540 ก็มิได้ทำให้การอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมิชอบแต่อย่างใดกรณีนี้ถ้าจำเลยที่ 3 มาแสดงตัวเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันเวลาที่ศาลชั้นต้นนัดไว้ แล้วศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ฟังหรือศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ฟังจำเลยที่ 3 ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ฟังอีกได้ ซึ่งถ้าศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านให้ฟังจึงจะถือได้ว่าเป็นการอ่านที่ไม่ชอบดังความเข้าใจของจำเลยที่ 3 แต่ก็มิได้มีหลักฐานให้ปรากฏเช่นนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้ออื่น ๆ ในฎีกาข้อ 2.2 ข้อ 2.3 เรื่องการจดแจ้งเหตุที่ผู้พิพากษามิได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลฎีกาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎบัตรสหประชาชาติ เป็นฎีกาโต้แย้งประเด็นในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4432/2536 และ 2892/2540 ซึ่งถึงที่สุดแล้วศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้”

พิพากษายืน

Share