คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่28 ตุลาคม 2507 กำหนดระยะเวลา 1 เดือนสำหรับการยื่นฎีกา เริ่มนับหนึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2507 ครบ 1 เดือนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2507 แต่วันที่ 28, 29 พฤศจิกายน 2507 ตรงกับวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยได้จดทะเบียนสมรสนั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เรือนที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน เรือนพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องกับจำเลยได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ผู้ร้องทราบแล้วไม่ได้บอกล้างนิติกรรม โจทก์มีสิทธิยึดเรือนพิพาท

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากันเมื่อ พ.ศ.2487 โดยมิได้จดทะเบียนสมรส เรือนพิพาทเป็นของผู้ร้องจำเลยไม่มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของโจทก์ไม่มีสิทธิยึด พิพากษาให้ปล่อยการยึดเรือนพิพาท

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่ผู้ร้องแก้ฎีกาว่าโจทก์ยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2507 กำหนดระยะเวลา 1 เดือนสำหรับการยื่นฎีกาเริ่มนับหนึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2507 ครบกำหนด 1 เดือนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2507 แต่วันที่ 28 และ 29 พฤศจิกายน ตรงกับวันเสาร์และวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161 ฎีกาโจทก์หาล่วงพ้นเวลาที่กำหนดไว้ให้ยื่นฎีกาดังข้อโต้แย้งไม่

ฎีกาและคำร้องของโจทก์ซึ่งขออ้างสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2143/2507 ของศาลอาญา เป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรสนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้นโดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่าผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์แต่เฉพาะประเด็นที่ว่าเรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง

ในประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นของผู้ร้องผู้เดียวหรือจำเลยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของด้วยนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ร้องผู้เดียว จำเลยไม่มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของด้วย โจทก์ไม่มีสิทธิยึด ที่ศาลล่างปล่อยเรือนพิพาทเสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share