คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรรับโอนที่ดินมาจากบิดามารดา ในระหว่างที่บิดามารดาครอบครอง ได้แลกทำนาที่นาโอนนั้นกับที่นาของบุคคลภายนอก โดยไม่ใช่เป็นการแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ ถือว่าบุคคลภายนอกทำนาที่นาที่โอนนั้นโดยอาศัยสิทธิของบิดามารดา เท่ากับบิดามารดาเป็นผู้ครอบครอง ย่อมนับเวลานั้นเข้ากับเวลาครอบครองของบุตรผู้รับโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1385
แม้จะไม่ได้แจ้งการครอบครองหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่ดินที่ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่ทำให้สิทธิครอบครองของผู้ครอบครองปรปักษ์เสียไป
ผู้ซื้อที่ดินโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ถูกแย่งการครอบครองเกินกว่า 10 ปี จะยกเหตุที่ผู้ครอบครองปกปักษ์ไม่ได้จดทะเบียนสิทธิขึ้นกล่าวอ้างหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาท และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้ที่พิพาทจะอยู่ในโฉนดของโจทก์ก็เป็นของจำเลยโดยการครอบครอง และหากเป็นการละเมิด ก็ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีได้กรรมสิทธิ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดามารดาจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมาเป็นเวลากว่า ๔๐ ปี ต่อมาได้โอนให้แก่จำเลย แม้จะได้ความว่านางรอดกับบิดามารดาจำเลยแลกที่พิพาทกับที่ดินนางรอดทำนาก็เพื่อความสะดวก มิใช่เป็นการแลกเปลี่ยนโอนกรรมสิทธิ์ นางรอดทำนาที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของบิดามารดาจำเลย จึงนับเวลาที่บิดามารดาครอบครองมา รวมกับเวลาที่จำเลยครอบครองในภายหลังได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๕
แม้จำเลยจะไม่ได้แจ้งการครอบครองที่พิพาทหรือเคยเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่พิพาท ก็ไม่ทำให้สิทธิครอบครองของจำเลยเสียไป
ถึงแม้โจทก์จะซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็จะยกเหตุที่จำเลยมิได้จดทะเบียนสิทธิกล่าวอ้างหาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share