คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5050/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์รับรองการจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋วในฐานะผู้รับอาวัลเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ได้ทำคำขอให้รับรองตั๋วเงินไว้ต่อโจทก์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนซึ่งเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ประสงค์มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างกันตามคำขอให้รับรองตั๋วเงินด้วย และถือได้ว่าเป็นสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งมีผลผูกพันสามารถบังคับกันได้ตามกฎหมายแยกต่างหากจากความผูกพันที่โจทก์ยอมตกเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋ว ดังนั้น เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงินโจทก์ได้ใช้เงินไปตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. แล้วมาใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่จำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามคำขอให้รับรองตั๋วเงินดังกล่าว แม้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อพ้นกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทถึงกำหนดอันเป็นเหตุให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1001 แล้ว แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้อันเกิดจากคำขอให้รับรองตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1 ทำกันไว้แก่โจทก์ก็ยังคงมีอยู่ และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในกรณีเช่นว่านี้ ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดเวลาสิบปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,430,250.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 967,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 34857 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์คิดเป็นต้นเงิน 967,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว ได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกที่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องมีกำหนดอายุความ 10 ปี ไม่ใช่มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 นั้น พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำคำขอให้โจทก์รับรองตั๋วเงิน โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทสัญญาว่าจะใช้เงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกษมปูนมาร์ลและปูนขาวในวันที่ 29 เมษายน 2541 ตามคำขอให้ธนาคารรับรองตั๋วเงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมผูกพันเข้าค้ำประกันว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ใช้เงินแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกษมปูนมาร์ลและปูนขาว เป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันโจทก์ได้ลงลายมือชื่อและมีข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัลไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาท ต่อมาเมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์ได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกษมปูนมาร์ลและปูนขาวไปเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2541 ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากโจทก์ตกลงรับรองการจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋วด้วยการลงลายมือชื่อและมีข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วอันทำให้โจทก์ต้องรับผิดตามเนื้อความแห่งตั๋วในฐานะผู้รับอาวัลซึ่งมีความรับผิดเป็นอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งตนประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 985 แล้ว แต่ความผูกพันที่โจทก์ยอมตนเข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋วนั้น เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 1 ได้ทำคำขอให้รับรองตั๋วเงินไว้ต่อโจทก์โดยมีข้อสัญญาว่า ก่อนถึงกำหนดเวลาที่จะต้องชำระเงินตามตั๋วเงินดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะนำเงินมาชำระตามตั๋วเงินนั้น หรือหากโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 นำเงินตามตั๋วเงินมาชำระ จำเลยที่ 1 จะรีบปฏิบัติตามโดยมิชักช้าและภายในกำหนดเวลาตามตั๋วเงินนั้น และจำเลยที่ 1 รับรองว่า ที่จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์รับรองการจ่ายเงินตามตั๋วเงินนี้ เป็นการขอให้รับรองเสมือนโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เท่านั้น หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดข้อตกลง กล่าวคือ มิได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามที่ได้รับแจ้งให้ทันภายในกำหนด อันเป็นเหตุให้โจทก์ในฐานะผู้รับรองการจ่ายเงินตามตั๋วเงิน ต้องจ่ายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกษมปูนมาร์ลและปูนขาว หรือผู้ทรงแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ชดใช้เงินจำนวน 967,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดที่โจทก์ประกาศใช้ในขณะนั้น (ในขณะทำคำขอกำหนดอัตราร้อยละ 19 ต่อปี) นับแต่วันที่โจทก์ได้ใช้เงินไปตามตั๋วเงินนั้นให้แก่โจทก์จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนซึ่งเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ประสงค์มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างกันตามคำขอให้รับรองตั๋วเงินด้วย และถือได้ว่าเป็นสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งมีผลผูกพันสามารถบังคับกันได้ตามกฎหมายแยกต่างหากจากความผูกพันที่โจทก์ยอมตนเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋ว ดังนั้น เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์ได้ใช้เงินไปตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกษมปูนมาร์ลและปูนขาว แล้วมาใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่จำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามคำขอให้รับรองตั๋วเงินดังกล่าวเช่นนี้ แม้จะฟังว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อพ้นกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทถึงกำหนด อันเป็นเหตุให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ดังความเห็นของศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้อันเกิดจากคำขอให้รับรองตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1 ทำกันไว้แก่โจทก์ก็ยังคงมีอยู่ และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในกรณีเช่นว่านี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสิทธิเรียกร้องดังกล่าวซึ่งยังไม่พ้นกำหนดเวลาสิบปี คดีของโจทก์ตามฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น อุทธรณ์ของโจทก์ข้อหลังที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 นั้น เมื่อหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระแก่โจทก์ยังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,430,250.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ในต้นเงิน 967,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 34857 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

Share